ความหนาแนน่มวล( mass density )(ใชส้ญัลักษณ์ อ่านว่า "โรห ์(rho)" ) ซึ่งหาได้จากอัตราส่วนระหว่างค่ามวล(m)ต่อหน่วยปริมาตร(V)สูตรความสัมพนัธ์ความหนาแนน่
มีหน่วย กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (kg/m³) ความหนาแนน่สัมพัทธ์(ความถ่วงจ าเพาะ) คือ อัตราส่วนระหว่างความหนาแนน่ของสารนัน้กับความหนาแนน่ของน้ าที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซยีส ซึ่งมีค่าเปน็ 1000 kg/m³
ความดันของของไหล คือ อัตราส่วนของแรงที่กระท าต่อวัตถุต่อหน่วยพื้นท่ีที่สัมผัสกับของไหล สูตรความสัมพันธ์
เมื่อ P คือ ความดัน มีหน่วยเป็น N/m2 หรือพาสคัล (pascal:Pa)
F คือ แรงที่ของเหลวกระท าต่อวัตถุ (นิวตัน) A คือ พื้นท่ี(ตารางเมตร) และเป็นพื้นที่ราบ (Flat area)
ความดนัในของเหลวจะแปรผนัตรงกบัความลกึและความหนาแน่นของของเหลว
หากพจิารณาของเหลวทีม่คีวามหนาแน่น อยู่น่ิงในภาชนะเปิดสูบ่รรยากาศ
W เป็นน ้าหนกัของของเหลวบนพืน้ที ่A (หน้าตดัของทรงกระบอก) ดงันัน้
ใหค้วามดนับรรยากาศ คอื เน่ืองจากของเหลวอยูใ่นสมดุล หรอื
ดงันัน้ทีก่น้แกว้
สตูรความดนัสมับรูณ์
เมื่อ P คือ ผลรวมของความดันบรรยากาศกับความดันเกจ
เรียกว่า "ความดันสัมบูรณ์" (Absolute pressure)
คือ ความดันที่ผิวของเหลวเท่ากับความดันบรรยากาศ
gh เป็นความดันเนื่องจากน้ าหนักของของเหลวที่ระดับความลึก h เรียกว่า " ความดันเกจ “
จากสูตร สรุปได้ว่า ความดันในของเหลวชนิดเดียวกันที่ระดับความลึกเดียวกันมีค่าเท่ากันโดยรูปทรงของภาชนะไม่มีผลต่อความดัน
แรงดันน้ าเหนือเขื่อน
จากรูป แรงดันของน้ าเหนือเขื่อน
ค านวณได้จาก
เมื่อ F คือ แรงดันเฉลี่ยของน้ าที่กระท ากับเขื่อน
คือ ความหนาแน่นของน้ า
l คือ ความยาวของตัวเขื่อน
h คือ ความสูงของระดับน้ า
หลอดแก้วรูปตัวยู
ของเหลวสองชนิดมคีวามหนาแน่น และ ไม่ผสมกันและไม่ท าปฏิกิริยากัน ใส่เข้าไปในหลอดแก้วรูปตัวยู ดังรูปขาทั้งสองข้างจะเท่ากันหรือไม่ก็ตาม แต่ปลายทั้งสองต้องเปิดสู่อากาศเดียวกัน
จะได้
เครื่องมือวัดความดันของของไหล
-แมนอมิเตอร์
แมนอมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดความดันของของไหลที่มีลักษณะดังรูป ส่วนส าคัญคือ หลอดรูปตัวยูมีของเหลวซ่ึงมีความหนาแน่น บรรจุอยู่ ค านวณความดันได้จาก
เมื่อ P คือ ความดันแก๊สในถัง
Pa คือ ความดันบรรยากาศ
gd คือ ความดันเกจของของเหลวสูง d
-บารอมิเตอร์
บารอมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดความดันประเภทหนึ่งที่ใช้หลอดยาวปลายข้างหนึ่งปิด และปลายข้างที่เปิดคว่ าลงในอ่างปรอท ความดัน 1 บรรยากาศ เป็นความดันเนื่องจากน้ าหนักของล าปรอทที่สูง 760 มิลลิเมตร
พาสคัล ได้ค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงความดันที่กระท าต่อของไหลในภาชนะปิดจะมีการส่งผ่านแรงทั้งหมดไปยังทุกจุดของของไหลและผนังของภาชนะ ด้วยหลักการนี้ท าให้เกิดการประยุกต์ใช้เครื่องผ่อนแรงท่ีเรียกว่า "เครื่องอัดไฮดรอลิก" ซึ่งประกอบด้วยกระบอกสูบและลูกสูบสองชุดที่มีขนาดต่างกัน ดังรูป
หลักเกี่ยวกับแรงลอยตัวของวัตถุซึ่งอยู่ในของเหลวกล่าวว่า “แรงลอยตัวจะมีค่าเท่ากับน้ าหนักของของเหลวซึ่งมีปริมาตรเท่าวัตถุส่วนที่จม”
มีค่าดัง สมการ FB = gV
เมื่อ FB คือ แรงลอยตัว (บางครั้งใช้สัญลักษณ์ B)
คือ ความหนาแน่นของของเหลว
g คือ ค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก
V คือ ปริมาตรวัตถุส่วนที่จมในของเหลว
แรงระหว่างโมเลกุลของของเหลวที่ดึงกันไว้ท าให้ผิวของเหลวราบเรียบและตึงเรียกว่า "แรงดึงผิว" แรงดึงผิวนี้จะมีทิศขนานกับผิวของเหลวและตั้งฉากกับขอบที่ของเหลวสัมผัส ดังรูป
ความตึงผิว ( surface tension: อ่านว่า แกมมา ) เป็นสมบัติเฉพาะตัวของของเหลว ค านวณได้จาก
เมื่อ F คือ ขนาดของแรงดึงผิว (นิวตัน)
L คือ ความยาวของผิวสัมผัส (เมตร)
ความตึงผิวของของเหลวมีหน่วย นิวตันต่อเมตร (N/m)
เมื่อพิจารณาแรง F ที่ดึงให้เกิดระยะเคลื่อนที่ท าให้ผิวของเหลวมีพื้นที่มากขึ้น งานที่ใช้ในการเพิ่มพ้ืนที่ผิวหาได้ดังนี้
นั่นคือ
เมื่อ คือ พื้นที่ผิวที่เพิ่มขึ้น
ความตึงผิวนี้มีหน่วยจูลต่อตารางเมตร ( J/ m³ )
ความตึงผิวของของเหลวแต่ละชนิดที่อุณหภูมิเดียวกันมีค่าไม่เท่ากัน ส าหรับของเหลวชนิดหนึ่งความตึงผิวจะเปลี่ยนไปเมื่อของเหลวมีสารเจือ เช่น น้ าเกลือหรือน้ าสบู่จะมีความตึงผิวน้อยกว่าน้ า และความตึงผิวจะลดลงเมื่ออุณหภูมิของของเหลวเพิ่มขึ้น
ความโค้งของผิวของเหลว ของเหลวในภาชนะจะมีผิวลักษณะโค้งนูนหรือโค้งเว้า ขึ้นกับแรงระหว่างแรงเชื่อมแน่น(cohesive force)ที่เกิดขึ้นระหว่างโมลุกุลชนิดเดียวกัน กับแรงยึดติด(adhesive)ที่เกิดขึ้นระหว่างโมเลกุลต่างชนิดกัน ดังรูป
ของไหลที่มีความหนืดมากจะมีแรงต้านการเคลื่อนที่อันเนื่องมาจากความหนืดของของไหล เรียกว่า "แรงหนืด"แรงหนืดที่กระท าต่อวัตถุขึ้นอยู่กับขนาดความเร็วของวัตถุและแรงนี้มีทิศตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
จอร์จ กาเบรียล สโตกส ์ได้ทดลองหาแรงหนืดและพบว่า แรงหนืดแปรผันตรงกับความเร็วของวัตถุทรงกลมตัน ตามสมการ
เมื่อ F คือ แรงหนืดของของไหล (นิวตัน)
r คือ รัศมีของวัตถุทรงกลม (เมตร)
v คือ ความเร็วของวัตถุทรงกลม ( N/m2 )
(อ่านว่า ETA) คือ ความหนืดของของไหล (นิวตันวินาที/ตารางเมตร หรือ พาสคัลวินาที)
ของไหลในอุดมคติ มีสมบัติดังนี้
- มีการไหลอย่างสม่ าเสมอ หมายถึงความเร็วของทุกอนุภาค ณ ต าแหน่งต่างๆของของไหลมีค่าคงตัว
- มีการไหลโดยไม่หมุน คืออนุภาคจะไม่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเชิงมุม
- มีการไหลโดยไม่มีแรงต้านเนื่องจากความหนืด หมายถึงไม่มีแรงต้านใดๆในเนื้อของของไหล
- ไม่สามารถอัดได้ หมายความว่าของไหลมีปริมาตรคงตัวมีความหนาแน่นเท่าเดิมตลอด
สมการความต่อเนื่อง
ให้ คือ พื้นที่หน้าตัดของท่อที่ของไหลไหลเข้า
คือ พื้นที่หน้าตัดของท่อที่ของไหลไหลออก
จากรูป เมื่อของไหลอุดมคติไหลอย่างสม่ าเสมอผ่านหลอดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เท่ากัน ปริมาตรที่ไหลผ่านพื้นที่ตัดขวาง ในเวลา จะเท่ากับปริมาตรของของไหลที่ผ่านพื้นที่หน้าตัด ในเวลา ที่เท่ากัน
มวลของไหลที่ผ่านพื้นที่ คือ
มวลของไหลที่ผ่านพื้นที่ คือ
มวลที่ไหลผ่านแต่ละส่วนมีค่าเท่ากัน
จะพบว่า Av = ค่าคง
ตัวเราเรียกสมการนี้ว่า " สมการความต่อเนื่อง " ซึ่งสรุปได้วา่"ผลคูณระหว่างพื้นที่หน้าตัดกับอัตราเร็วของของไหลอุดมคต ิไม่ว่าจะอยู่ที่ต าแหน่งใดในหลอดจะมีค่าคงตัวเสมอ"
พจิารณาทีท่่อสว่นบน
งานทีก่ระท าโดยแรง (ทศิตรงขา้ม)
พลงังานศกัย ์
พลงังานจลน์
งานจากแรงดนั = การเปลีย่นพลงังานกล
จาก แทนคา่ได ้
นั่นคือ = ค่าคงตัว
สมการนี้เรียกว่า "สมการของแบร์นูลล"ี ซึ่งกล่าวว่า "ผลรวมของความดันพลังงานจลน์ต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร และพลังงานศักย์โน้มถ่วงต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร ณ ต าแหน่งใดๆ ภายในท่อที่ของไหลผ่าน มีค่าคงตัว" ด้วยหลักการนี้จึงเกิดการประยุกต์ใช้ในการท างานของเครื่องพ่นสี และการออกแบบปีกเครื่องบิน เป็นต้น