ประสบการณ์นกเรยนนอกตอนท่ 2: “ฮัลโหลๆ พี่ฮาร์ท มีน้องใหม่มาเพียบเลยพี่ช่วงนี้บรรยากาศคึกคัก“ สายของเราชาว Smile Campus รายงานมาด่วนทั้งทางออสเตรเลียและฝั่งอังกฤษ เพราะช่วงนี้น้องๆหลายคนเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆในขณะที่บางส่วนเพิ่งเสร็จสิ้นการรับ ปริญญา นักเรียนไทยหลายนามกำลังเตรียมตัวศึกษาต่อในขณะที่อีกหลายคนกำลัง เรียนภาษาอยู่ที่เมืองนอกกันแล้ว หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนมา 19 ปี (อนุบาล- ปริญญาตรี) ขอไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองที่เมืองนอกบ้าง เรียนไปทำงานไปไม่ต้องขอ เงินป่ะป๊าม่ะม๊ากันแล้ว ลอนดอน&ซิดนีย์ เป็นสองเมืองที่นักเรียนไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่านิยม ไปชุบตัวมากที่สุด จริงหรือที่พูดไทยได้ก็อยู่รอด? ไปแล้วไม่ได้อะไรภาษาอังกฤษก็ไม่ดี? เดี๋ยวรู้กัน! สำหรับประเทศอังกฤษนั้นต้องขอบอกก่อนว่า Not Only Luxurious ไม่จำเป็นว่าต้องรวยถึงไปได้ และมีข่าวลือต่างๆนานาว่าสถาบันในอังกฤษนั้นเก่าแก่ และอุปกรณ์การเรียนล้าสมัยกว่าออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา อันนี้ เป็นสถาปัตยากรรมภายนอกเท่านั้นส่วนความทันสมัยนั้นขอบอกว่าเท่าเทียมกับ ประเทศอื่นๆชัวร์ ส่วนเรื่องจริงที่ต้องยอมรับคือว่าบางสาขาวิชานั้นต้องเรียนที่อังกฤษถึง จะดีอันนี้คุยกันส่วนตัวจะดูดีกว่านะครับ ในขณะที่ค่าเล่าเรียนนั้นไม่แพงอย่างที่คิดครับ พี่น้อง พี่ฮาร์ทว่าที่ใครๆบอกว่าลอนดอนไร้สีสันเหมือนดูทีวีขาวดำนั้นต้องคิดผิดเพราะดู อย่างแท็กซี่ที่เรียกว่า London Cab นั้นปัจจุบันมันก็ไม่ได้ดำสนิท มีสารพัดสีไม่ว่า ฟ้า ชมพู ขาว มีปรากฏกันถ้วนหน้าจัดได้ว่าลอนดอนนั้นมีสีสันอย่างแท้จริง น้องๆที่เรียนใน ลอนดอนนั้นคงมีเหตุผลแตกต่างกันไป แต่ด้วยความ เด่น เดิ้น ดัง และดี มันเลย โดน เข้าไปเต็มๆในใจของคนยุคใหม่ใฝ่เรียนทั้งชาวไทยและนานาชาติ การเดินทางในเมือง นั้นมีรถไฟใต้ดิน (Underground หรือ Tube) ที่รวดเร็วทันใจโยงใยกันทุกทิศเลยทีเดียว แถมยังไปเมืองอื่นๆได้ง่ายอีกด้วย และที่มันโดนจริงๆก็คือผับ (Public House) อย่าตีความเหมือนเมืองไทยนะ ครับเพราะมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผับอังกฤษนั้นคือที่ขายเหล้า เบียร์ และอาหาร สำหรับทุกคนที่อายุมากกว่า 18 ปีนะจะบอกให้ เป็นแหล่งพบปะพูดคุยสนทนาเรื่อง ต่างๆ เช่น การเมือง การเม้าท์ และการศึกษา (นักเรียนไทยชอบคุยกันเรื่องรายงานและ เรื่องชาวบ้าน ฮิฮิ) ส่วนบรรยากาศในเมืองก็ต้องนี่เลย ขึ้นรถเมล์สีแดงสองชั้น เข้าพิพิธภัณฑ์ยามว่าง กินอาหารกลางวันใกล้บิ๊กเบน แล้วงีบสักหน่อยที่ไฮด์ปาร์ค อาฟเตอร์นูนทียามหิว แล้วดูวิวต่อที่ลอนดอนอายส์ ตกบ่ายก็ไปช้อปปิ้งที่แฮร์รอดส์ เงินช้อตก็ไปแค่แพตติโค้ตเลน ตอนเย็นก็เข้าผับเพราะเมาไม่ขับขึ้นทูบกลับได้ อ้าว!ลืม ไปเมื่อเช้าไม่ได้เข้าเรียน แต่เรียนไปทำงานไปเดี๋ยวก็จบ หรือไม่ก็พบรักแล้วแต่งงาน น้องๆครับลอนดอนมีสีสันกว่าที่คิด ส่วนฝั่งออสเตรเลียยอดฮิตก็ติดอันดับนักเรียนไทยไม่แพ้กัน เมื่อตอนที่พี่ ฮาร์ทจบปริญญาตรีหมาดๆ เพื่อนๆก็ชักชวนกันไปเรียนต่อนอก บางคนก็ไม่ต่อปริญญา โทแต่ไปเรียนหลักสูตรที่ราคาไม่แพงและเน้นการทำงานหาประสบการณ์ในต่างแดน พี่ฮาร์ทเองก็โนไอเดียเลยว่างั้น เป็น Backpacker ไปยุโรปทุกปีตั้งแต่อายุ 18 เห็นทีถ้า ไปเรียนนานๆคงเบื่อแน่ๆเลยตกลงกับเพื่อนอีกสองคนว่าถ้างั้นไปออสเตรเลียดีกว่า เพราะยังไม่เคยไป อีกทั้งได้ยินคำล่ำลือว่าเป็นดินแดนแห่งการศึกษาเหมือนอังกฤษ และล้ำสมัยด้านเทคโนโลยีเหมือนสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่าเมืองซิดนีย์เป็นเมืองใหญ่ที่ ศิวิไลย์ที่สุด เป็นที่ตั้งของ Opera House และ Harbor Bridge อันโด่งดัง นอกจากนี้ Sydney Harbor ได้ชื่อว่าเป็นอ่าวที่สวยงามที่สุดในโลกอีกด้วย ชื่อถนนในเมืองนั้น เหมือนลอนดอนเลยแถมยังมี Hyde Park เหมือนกันเป๊ะแต่ค่าครองชีพถูกกว่าลิบลับ จัดได้ว่าใกล้เคียงกับประเทศไทยเราเลยครับ พี่ฮาร์ทจำได้ว่าเมื่อตอนขึ้นเครื่องไป ซิดนีย์ครั้งแรกนั้นด้วยความตื่นเต้น 8 ชั่วโมงนั้นไวเหมือนโกหกก็ถึงแดนจิงโจ้และโคอา ล่าที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันที่จะได้มาเยือน คนออสซี่นั้นจัดได้ว่าต้อนรับนักศึกษาไทยดีและเป็นมิตรมั่กๆ โฮมสเตย์ที่พี่ ฮาร์ทได้นั้นดีจริงๆเพราะไม่ค่อยจุกจิกเรื่องชาวบ้านเหมือนบางที่ แต่แหมก็เค้าเป็นห่วง เห็นมาต่างบ้านต่างเมือง จะไปว่าเขาก็ไม่ถูก ที่ซิดนีย์ก็มีรถไฟคล้ายๆลอนดอน นั่นแหละต่างกันแค่มันอยู่ใต้ดินเฉพาะในใจกลางเมืองเท่านั้นเอง เรื่องอาหาร การกินนั้นขอบอกเลิศสุดๆครับพี่น้อง อินเตอร์จริงๆมีทุกชาติ ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี อิตาลี ฝรั่งเศส แต่ชาติไทยเยอะสุด ร้านส้มตำปูปลาร้าชื่อดังนั้นอยู่ใจกลางเมืองเลย ดังนั้นอย่าห่วงเรื่องอาหารขอบอกมีไชน่าทาวน์ไม่พอที่นี่มีไทยทาวน์ด้วย ลอนดอนมีผับ เยอะแค่ใหนซิดนีย์ก็สู้ตายเช่นกันครับ ที่แตกต่างกันจริงก็สภาพอากาศครับ ซิดนีย์มี ครบทุกฤดูกาลและไม่หนาวสะท้านเหมือนลอนดอนและยังมีทะเลด้วย เอาล่ะครับไม่ว่าจะลอนดอนหรือซิดนีย์มันก็ดีทั้งสองเมืองแหละครับ การศึกษาของทั้งอังกฤษและออสเตรเลียเค้าสอนให้รับผิดชอบตัวเอง ทำงานกันเป็น ทีม (เม้าท์ได้แต่ห้ามกัดกันเอง) น้องๆจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอันหลากหลาย ให้เป็นหนึ่งเดียว (มันยากแต่ต้องพยายาม) แลกเปลี่ยนความคิดระหว่างผู้เรียนและผู้ สอน เป็นอะไรที่อบอุ่นแถมแต่ละสถาบันมีแผนกช่วยเหลือด้านการเรียนด้วย ส่วนเรื่อง ข่าวลือทั้งหลาย ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ปัญหาจึงมีมากเป็นธรรมดา คนมันเยอะทุก ชาติครับทั้งเอเชียและยุโรป นักเรียนไทยมักจับกลุ่มกันเองเพราะความอายที่จะพูด อังกฤษ ไม่ต้องอายหรอกอะไรที่มันไม่ควรอายน่ะครับ ดังนั้นที่ว่าเมืองที่คนไทยเยอะไป แล้วไม่ได้อะไรนั้นมันขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตมากกว่า บางคนไปเมืองเล็กๆแล้วคบกันแค่ คนไทย 3 คนผลก็ออกมาไม่ดีเหมือนกันครับขอบอก แต่ถ้าเลี่ยงเมืองใหญ่ได้ก็จะ เจอคนไทยน้อย โอกาสการพูดภาษาอังกฤษก็จะมีมากขึ้นครับ บางคนคบเพื่อน ญี่ปุ่นเยอะๆจนพูดญี่ปุ่นได้ก็มี ล่าสุดนายก้องศรี เพื่อนรักจากโกลด์โคสก็เป็นฝั่งเป็นฝากับญี่ปุ่นไป แล้ว ส่วนพี่ฮาร์ทบางทีเจอฝรั่งขี้อวดก็เลยหลอก ให้มันกินวาซาบิไปทั้งก้อนเลยสะใจจริงๆ London VS Sydney ความจริงท่ทกคนอยากร้! London Sydney