Top Banner
www.ahlulbait.org ปีท่ 1 ฉบับที่ 2 มิถุนายน 2552 THAI SHI’A IMAMIYAH NEWSPAPER email : [email protected] 15 บาท Hilight ความจริงในมุมมองที่แตกต่าง เว็บไซต์รูปแบบใหม่ที่ถูกตระเตรียมไว้เพื่อคุณโดยเฉพาะ พบกัน 1 มิถุนายน น. 6 น. 5 โลกตะวันตกรู้สึกหวั่นใจ ต่อการ‘ตื่นตัว’ ของมุสลิมทั่วโลก ‘ยุทธศาสตร์’เชิงรุก! สมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน พัฒนากระบวนการคิดทางวิชาการ-สร้าง‘เอกภาพ’ในหมู่มุสลิม ‘มูลนิธิอิมามมะฮ์ดี’จับมือ ‘อะฮฺลุลบัยตฺอะคาเดมี’ จัดอบรม‘เสริมศักยภาพ’และ ‘พัฒนา’นักปฏิบัติงานเพื่ออิสลาม อ่านรายละเอียด น.8 น. 10 สรุปคำปราศรัยของ ‘อะห์มะดี เนญาด’ ในที่ประชุม สหประชาชาติ
16

Imamiyah Journal 02

Apr 10, 2015

Download

Documents

ahlulbaite
Welcome message from author
This document is posted to help you gain knowledge. Please leave a comment to let me know what you think about it! Share it to your friends and learn new things together.
Transcript
Page 1: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 �

www.ahlulbait.org

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 มิถุนายน 2552 THAI SHI’A IMAMIYAH NEWSPAPER email : [email protected]

15 บาท

Hiligh

t

ความจริงในมุมมองที่แตกต่าง

เวบ็ไซตร์ปูแบบใหมท่ีถ่กูตระเตรยีมไวเ้พือ่คณุโดยเฉพาะ

พบกนั 1 มถินุายน

น.6 น.5

โลกตะวนัตกรูส้กึหวัน่ใจ

ตอ่การ‘ตืน่ตวั’ ของมสุลมิทัว่โลก

‘ยทุธศาสตร’์เชงิรกุ! สมาคมนกัเรยีนเกา่ไทย-อหิรา่น

พฒันากระบวนการคดิทางวชิาการ-สรา้ง‘เอกภาพ’ในหมูม่สุลมิ

‘มลูนธิอิมิามมะฮด์’ีจบัมอื ‘อะฮลฺลุบยัตอฺะคาเดม’ี จดัอบรม‘เสรมิศกัยภาพ’และ ‘พฒันา’นกัปฏบิตังิานเพือ่อสิลาม

อา่นรายละเอยีด น.8

น.10

สรปุคำปราศรยัของ ‘อะหม์ะด ีเนญาด’ ในทีป่ระชมุ สหประชาชาต ิ

Page 2: Imamiyah Journal 02

� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552

เจ้าของ อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี

บรรณาธิการอำนวยการ เชคอะบุลฟัตตาฮฺ อัลฮุจญาตี

บรรณาธิการบริหาร เชคมาลีกี ภักดี

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 มิถุนายน 2552 / Vol.1 No.2 June 2009

Publish by AHLULBAIT ACADEMY Executive Editor SHEIK ABULFATTAH ALHUJJATI Editor in Cheif SHEIK MALEEKEE PHAKDEE

บทบรรณาธิการ EDITOR

AHLULBAIT ACADEMY (THAILAND) ‘อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดม’ี ก่อตั้งในฐานะองค์กรของมุสลิมชีอะฮ์อิมามิยะฮ์ ในประเทศไทย ที่ดำเนินการโดยไม่มุ่งหวังผลกำไร มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน

การศึกษา กีฬา และวัฒนธรรมอิสลาม

สำนักงานกองบรรณาธิการ อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี 286/3 ม.1 ต.ฉลุง อ.เมือง จ.สตูล 91140

Tel/Fax. +66 (0) 74 799141

หลังจากที่ ‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ ฉบับแนะนำได้ออกสู่สายตาผู้อ่านเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กองบรรณาธิการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อพระองค์อัลเลาะฮ์ (ซ.บ) สำหรับความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของสังคมชีอะฮ์อิมามียะฮ์ในประเทศไทย

เนื่องด้วยผู้อ่านจำนวนมากให้การต้อนรับ ตลอด จนกำลังใจมากมายที่หลั่งไหลเข้ามายังกองบรรณาธิการ อิมามียะฮ์ เจอร์นัล หนังสือพิมพ์รายเดือน สื่อเล่มแรกในประเทศไทยที่นำเสนอมุมมองต่างๆ ตามแนวทางที่บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้วางรากฐานไว้

จนถึงขณะนี้เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน ท่ามกลางการวิพากวิจารณ์ ซึ่งมีทั้งติชม และคำแนะนำ ที่ทางกองบรรณาธิการต้องขอขอบพระคุณ รวมทั้งยินดีน้อมรับทุกๆ คำ วิพากวิจารณ์เหล่านั้น เพื่อที่จะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนา ‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ เล่มนี้ไปสู่สิ่งที่ดียิ่งกว่า...

ทั้งนี้การทิ้งระยะห่างระหว่างฉบับแนะนำกับฉบับที่สองซึ่งผู้อ่านหลายท่านตั้งข้อสังเกตว่านานเกินไปนั้น ทางกองบรรณาธิการใคร่ขอชี้แจงว่า ก็เพื่อเป็นการทดสอบกระแสผู้อ่าน รวมทั้งเพื่อเตรียมทีมงานและอุปกรณ์ให้พรั่งพร้อม เนื่องด้วยการทำหนังสือพิมพ์ขึ้นมาหนึ่งเล่มนั้น แม้นจะเป็นรายเดือนก็ตาม หากแต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทุ่มสรรพกำลังในหลายๆ ด้าน เพราะไล่ตั้งแต่การเตรียมข้อมูล การผลิต จนสามารถนำเข้าสู่โรงพิมพ์ได้นั้น มีกระบวนการหลายขั้นตอนที่ต้องอาศัยความพร้อมในหลายๆ ด้านด้วยกัน

แต่แน่นอนที่สุดว่า ‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ เล่มนี้จะไม่หายไปไหน เมื่อใดที่กระบวนการผลิตเข้าที่เข้าทางอย่างสมบูรณ์แล้วนั้น หนังสือพิมพ์ข่าวแวดวงชีอะห์อิมามียะฮ์ฉบับนี้ก็จะออกสู่สายตาผู้อ่านอย่างต่อเนื่อง และมีความถี่ขึ้นกว่าเดิม โดยกองบรรณาธิการตั้งเป้า ไว้ที่รายปักษ์และวางแผงจำหน่าย ซึ่งเราจะพยายามทำให้ได้ภายในเร็ววัน อินชาอัลเลาะฮ์

สำหรับ ‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ ฉบับนี้ ได้รวบรวมข่าวสารด้านกิจกรรมของพี่น้องชีอะห์อิมามียะห์ในประเทศไทยมาให้ผู้อ่านได้รับทราบและบทความที่เข้มข้นครอบคลุมขึ้นมากกว่าเดิม กระนั้นก็ยังมีกิจกรรมอีกหลายๆ สถานที่ ซึ่งไม่ไดน้ำมาลงตพีมิพ ์กองบรรณาธกิารจงึใครข่อความอนเุคราะห์ จากพี่น้องผู้ศรัทธาในแต่ละพื้นที่จะกรุณาส่งข่าวสารกิจกรรมของพี่น้องเข้ามาที่กองบรรณาธิการ อิมามียะฮ์ เจอร์นัล เพื่อสื่อให้พี่น้องในจังหวัดต่างๆ ได้รับทราบถึงกิจกรรมดีงาม เหล่านั้น

ส่วนการสมัครสมาชิกนั้น ผู้อ่านสามารถส่งใบสมัครสมาชิกฉบับนี้มาตามที่อยู่ด้านล่าง หรือส่งแฟกซ์ได้ที่ เบอร์ 074 799 141 นะครับ

‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ ยินดีรับใช้และน้อมรับข้อเสนอแนะของผู้อ่านทุกท่านด้วยความยินดียิ่ง

ขอองค์อัลเลาะฮ์ทรงคุ้มครองพี่น้องผู้ศรัทธาทุกท่าน

ส่งข่าว ความเคลื่อนไหว บทความ ได้ที่ E-mail : ahlulbait�[email protected]

สำนักข่าวอิรนา รายงานว่าเมื่อประมาณ 10 โมงเช้า ของวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2552 (ตามเวลาท้องถิ่นของสาธารณรฐัอสิลามแหง่อหิรา่น) ทา่นหญงิ ‘คอดญีะฮ ์ษะกอฟีย์ ’ ภรรยาผู้มีเกียรติของอิมามรูฮุลเลาะฮ์ อัลมูซาวี อัลโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้กลับคืนสู่ความเมตตาของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) แล้ว

ท่านหญิงคอดีญะห์ ษะกอฟีย์ วัย 64 ปี เป็นบุตรีของ อายะตุลเลาะฮ์ษะกอฟีย์ สืบเชื้อสายมาจากตระกูลษะกอฟีย์ที่ได้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในเหตุการณ์วัน อาชูรอ ณ แผ่นดินกัรบะลาอ์ เมื่อปี ฮ.ศ.ที่ 61

รายงานข่าวแจ้งว่า ร่างอันจำเริญของนางถูกฝังเคียงข้างกับสามีและบุตรชายของนางที่ฮะรอมอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) โดยมีพิธีแห่ร่างอันไร้วิญญาณจากบ้านที่ญะมารอน ทางตอนเหนือของเตหะราน ไปยังฮารอมของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ในเวลา 10 โมงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2552

อนึ่ง อิมามโคมัยนี (ร.ฮ) มีความรักความผูกพันและให้เกียรติต่อภรรยาอย่างไม่เคยเสื่อมคลาย กล่าวกันว่า ในสมัยที่อิมามโคมัยนียังมีชีวิตอยู่ ท่านจะไม่นั่งที่สำรับอาหารโดยปราศจากภรรยาของท่านเลย และเมื่อว่างจากภารกิจ อิมามจะให้ความช่วยเหลืองานบ้านกับภรรยาป็นนิจสิน ภรรยาไม่เคยเห็นอิมามถอดถุงเท้าต่อหน้าสมาชิกในบ้าน

ผู้นำการปฏิวัติอิสลามคนปัจจุบัน อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี ได้กล่าวต่อหน้าประชาชนเรือนล้านที่ฮะรอม อิมามอะลี ริฎอ (อ.) เมืองมัชฮัด แคว้นคูรอซาน เนื่องในวันปีใหม่ ของชาวอิหร่านเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า ในช่วงวันเวลาที่อิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ถูกทรราชชาห์ปะห์เลวี เนรเทศไปอยู่ต่างแดน โดยเฉพาะในขณะที่ท่านพำนักอยู่ในเมืองนะญัฟ ประเทศอิรัคนั้น ท่านอิมามได้เขียนจดหมายถึงภรรยาของท่านโดยมีใจความบางตอนว่า “การขาดไร้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าว” อตัประวตัโิดยสงัเขปของ ทา่นหญงิคอดญีะฮ ์ษะกอฟยี ์ภรรยาของผู้นำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ

ท่านหญิงคอดีญะฮ์ ษะกอฟีย์ เป็นบุตรของ มิรซา มุฮัมมัด ษะกอฟีย์ เตหะรานีย์ หนึ่งในสานุศิษย์ของท่านอายะตุลเลาะฮ์ ฮาอิรี ยัซดีย์ ถือกำเนิดในปี 1294 (ปีทางสุริยคติตามปฏิทินอิหร่าน ซึ่งปัจจุบันตรงกับปี 1388) และสายตระกูลของนางสืบทอดมาจากสหายผู้ซื่อสัตย์ท่านหนึ่งของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอิมามในสมรภูมิกัรบะลาอ์

ในช่วงที่บิดาของนางเดินทางเข้ามาศึกษาวิชาการศาสนาในเมืองกุมนั้น นางได้รู้จักกับท่านอิมามโคมัยนี ซึ่งเป็นนักเรียนศาสนาวัย 27 ปีอยู่ในขณะนั้น และการรู้จักดังกล่าวนี้เองที่นำไปสู่การแต่งงานระหว่างอิมามโคมัยนีกับนาง ในปี 1308 ในที่สุด

ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 5 คน เป็นชายสองคน ได้แก่ ชะฮีด ซัยยิด มุศฏอฟา และ ซัยยิด อะห์มัด และเป็นหญิงอีกสามคน ได้แก่ ซัยยิดะฮ์ ฟะรีดะฮ์, ซัยยิดะฮ์ ซะฮ์รอ และ ซัยยิดะฮ์ ศิดดีเกาะฮ์

มารยาทต่างๆ ของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ที่มีต่อนางเต็มไปด้วยการให้เกียรติอย่างที่สุดตามแบบฉบับแห่งศาสดามุฮัมมัด (ศ.) แม้กระทั่งในขณะรับประทานอาหาร อิมามโคมัยนีจะไม่เริ่มรับประทานอาหารจนกว่านางจะมานั่งที่สำรับอาหารเสียก่อน

สำหรับอิมามโคมัยนีแล้ว ภรรยาของท่านเป็นทั้งมิตร, ผู้

ช่วยเหลือ, ผู้คอยอยู่เคียงข้าง, ผู้เป็นกำลังใจ, และผู้สนับสนุนการต่อสู้ทางการเมืองของอิมามมาตลอด นางเป็นผู้มีความเคร่งครัด, ผู้เสียสละเป็นอย่างสูง, ผู้มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล และเป็นผู้ที่ทุ่มเทในการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการศึกษา การอบรม และการเติบโตทางวุฒิภาวะของลูกๆ

ในสาส์นไว้อาลัยของ อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อครอบครัวของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) เนื่องจากการอสัญกรรมของท่านหญิงษะกอฟีย์นั้น ผู้นำสูงสุดได้กล่าวถึงคุณสมบัติอันโดดเด่นสามประการของท่านหญิงษะกอฟีย์ว่า

“นางได้ดำเนินชีวิตอันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของ อิมามด้วยกับความอดทน, เจตนารมย์อันแน่วแน่ และการมอบหมายไว้วางใจในอัลเลาะฮ์ฺพระองค์เดียว

ความอดทนที่เป็นมรรคผลของ ความศรัทธาอันแรงกล้า และความเชื่อมั่น และการมีทัศนคติที่ดีต่ออัลเลาะฮ์ (ซ.บ) ดังที่ศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้กล่าวว่าศรัทธาคือความอดทน และอิมาม อะลี (อ.) ได้กล่าวว่า “พื้นฐานของความอดทนได้แก่ความเชื่อมั่นและการมีทัศนคติที่ดีต่อพระองค์อัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)”

ความอดทนที่ได้เปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วย ความพึงพอใจต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่ท่านศาสดา (ศ.) กล่าวว่า “ความอดทนคือความพึงพอใจ” นั้นได้ทำให้นางอดทนต่อความยากลำบากและความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ความขาดแคลนและอัตคัตในชีวิตสมรส, ความยากลำบากในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม, ในขณะที่อิมามโคมัยนีถูกเนรเทศและถูกคุมขัง, ความอดทนต่อการสูญเสียบุตรชายสุดที่รัก ชะฮีด ซัยยิด มุศฏอฟา, การสูญเสียท่านอิมามโคมัยนี และติดตามมาด้วยการสูญเสียท่าน ซัยยิด อะหมัด บุตรชายอีกคนของท่าน

การมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ความหนักแน่นและการยืนหยัด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือผลของการมีความอดทน ดังที่ท่านอิมามอะลี (อ) กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความหนักแน่นได้แก่ความอดทน คืออีกคุณสมบัติหนึ่งที่โดดเด่นของท่านหญิงษะกอฟีย์ภรรยาสุดที่รักของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)

และคุณสมบัติอื่นอีก ได้แก่ การมอบหมายทุกสิ่งต่ออัลเลาะฮ์ (ซ.บ) การมอบหมายทุกสิ่งต่อพระองค์ในทุกๆ ช่วงของชีวิตว่า พระองค์ทรงมีแต่ความปรารถนาดีและทรงรู้ดีที่สุดว่าจะทรงจัดการกับบ่าวของพระองค์อย่างไร ดังที่กุรอานกล่าวว่า “จงกล่าวเถิดว่า ไม่มีสิ่งใดมาประสบกับเรา นอกจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงลิขิตไว้แล้วสำหรับเรา พระองค์ทรงเป็นนายและผู้คุ้มครองเรา ดังนั้น ปวงศรัทธาชนจะต้องไว้วางใจอัลเลาะฮ์เท่านั้น และการมอบหมายต่อพระองค์อัลเลาะฮ์ในเวทีทางสังคมและทางการเมือง ดังที่กุรอานกล่าวว่า “หากอัลเลาะฮ์ทรงช่วยเหลือพวกเจ้า ย่อมจะไม่มีผู้ใดพิชิตพวกเจ้าได้ แต่หากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเจ้า ใครเล่าจะเป็นผู้ช่วยเหลือพวกเจ้าหลังจากพระองค์ ดังนั้น ปวงศรัทธาชนจะต้องไว้วางใจอัลเลาะฮ์เท่านั้น”

คุณสมบัติเหล่านี้ได้ทำให้ท่านหญิงษะกอฟีย์มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของอิมามโคมัยนี(ร.ฮ.) ในการชี้นำการปฏิวัติอิสลามในประเทศอิหร่านและได้รับชัยยชนะในที่สุด

จนกระทั่งนางได้รับการขนานนามว่า “มารดาแห่งการปฏิวัติอิสลาม”

ข้อมูล : อิสลามิกโฮมเพจ

‘มารดา’ แหง่การปฏวิตั ิอสิลาม

ขอตอ้นรบัสูฉ่บบัทีส่อง...

Page 3: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 �HOT ISSUE

“ก่อนที่จะถามถึงเส้นทางของการเดินทางจากใคร จงถามเกี่ยวกับเพี่อนผู้ร่วมเดินทางก่อน และก่อนที่จะเลือกบ้านที่อยู่อาศัย จงสอบถามเกี่ยวกับเพื่อนบ้านเสียก่อน”

สุนทโรวาทของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อิมามอะลี (อ.) ต้องการสอนให้มนุษย์มีความรอบคอบและพิจารณาให้ถ่องแท้เมื่อต้องการที่จะเดินทางร่วมกับผู้อื่น หากเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ไม่ดีและเป็นคนเลว ก็จะต้องหลีกเลี่ยงและออกห่างจากบุคคลเช่นนั้น เช่นเดียวกันเมื่อเราต้องการจะเลือกบ้านที่อยู่อาศัยสักหลังหนึ่ง ก็จำเป็นต้องระวังจากการมีเพื่อนบ้านที่ไม่ดีและอยู่นอกแนวทางของศาสนา เนื่องจากว่าเพื่อนร่วมเดินทางที่ไม่ดี

เรื่องเด่น

ถ้อยคำนี้ของอะมีรุลมุอ์มินีน อิมามอะลี (อ.) ได้ชี้นำให้กับเราท่านทั้งหลาย เมื่อไรก็ตามที่เราเลือกเส้นทางชีวิตหรือจะทำกิจการงานใด หากเกิดความสงสัยหรือลังเลโดยไม่สามารถที่จะเลือกหนทางที่ถูกต้องได้ หยุดเสีย ก่อนที่เราจะก้าวไปบนเส้นทางนั้นอย่างคนตาบอด ควรมองหาบุคคลที่เราคิดว่าเป็นคนที่มีสติปัญญา และมีศรัทธาที่มั่นคง เพื่อเขาจะได้ชี้นำเราสู่ความถูกต้องได้ และทำให้เราออกห่างจากหนทางที่ผิดพลาดและความหายนะต่างๆ นี่คือเหตุผลของการมีผู้ร่วมเดินทางที่ดี และมีเพื่อนบ้านที่ดีหรือมีผู้คบค้าสมาคมที่ดี

โดย : เชคอิบรอฮีม หมาดทิ้ง

คำสอนจาก‘นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์’

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี ได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงความยินดีกับชาวอิหร่านทั้งในประเทศและต่างประเทศเนื่องในโอกาสเทศกาล ‘นูว์รูซ’ หรือปีใหม่ของชาวอิหร่าน

ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับปีใหม่ (1388) ของชาวอิหร่านในปีนี้ว่า วันปีใหม่ของอิหร่านปีนี้มีขึ้นในช่วงวันถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) และท่านอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดแห่งความเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับปีนี้ของประเทศอิหร่าน และข้าพเจ้าขอให้ปีนี้ที่จะเริ่มขึ้นนั้นเป็น “เป็นปีแห่งการปฏิรูป รปูแบบการบรโิภค” ทา่นไดเ้รยีกรอ้งใหป้ระชาชาต ิอิหร่านร่วมกันประหยัดในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องของพลังงานธรรมชาติ อาทิ น้ำมัน แก๊ส จนถึงข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน

ผู้นำสูงสุดได้อธิบายถึงปีที่เพิ่งสิ้นสุดไป (1387) ว่าเป็น “ปีแห่งเหตุการณ์สำคัญ” โดยได้อ้างอิงถึงการพัฒนาที่สำคัญและเหตุการณ์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศของชาวอิหร่านในปีที่ผ่านมา

ผู้นำสูงสุดได้ชี้แจงว่าปีนี้ถูกเริ่มต้นด้วยข่าวดี ไม่ว่าจะเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องความสำเร็จเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์เพื่อความสงบสุขของพลเรือนอิหร่านเอง และข่าวที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถและพรสวรรค์ของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรของเยาวชนชาวอิหร่าน ซึ่งท่านกล่าวถึงการเปิดตัว โทรคมนาคมดาวเทียม “อุมีด” ที่อิหร่านผลิตด้วยตนเองขึ้นสู่วงโคจรในห้วงอวกาศได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการวางอิหร่านไว้ท่ามกลางประเทศแค่ไม่กี่ประเทศที่มีความสามารถในการผลติดาวเทยีมและสง่ไปยงัวงโคจร ไดส้ำเรจ็ดว้ยตนเอง โดยเปน็ประเทศที ่8 ของโลก

นอกจากนี้ อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี ยังได้พูดถึงการทดสอบการทำงานของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ “บูเชะห์” อีกด้วย ว่า ทั่วโลกจะได้ตระหนักว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตะวันตกจะขัดขวาง ความก้าวหน้าที่เป็นประโยชน์ในเทคโนโลยีนิวเคลียร์ด้านความสงบของพลเรือนอิหร่าน โดยได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า รวมทั้งความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอื่นที่กำลังอยู่ในระหว่างการค้นคว้าวิจัยของประเทศอิหร่านอีกในขณะนี้

อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี ได้กล่าวถึงการล้มละลายของเศรษฐกิจโลก และกล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจจะถึงขั้นวิกฤตซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้สร้างความยุ่งเหยิงเป็นอย่างมากทั้งในส่วนภูมิภาคและระดับสากล แต่ทว่าเจ้าหน้าของรัฐที่รับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจชาวอิหร่านก็ยังได้ประสบความสำเร็จในการจัดการมีแผนรองรับ ซึ่งทำให้อิหร่านมีความชัดเจนมาก ในเรื่องของการเตรียมพร้อมและแก้ไขพายุทางเศรษฐกิจอันร้ายแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งได้โจมตีประเทศต่างๆ หลายประเทศไปแล้ว

เมื่อมองปีที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ตามปฏิทินอิหร่านปี1387 ผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านได้ชี้ แจงให้ เห็นถึ ง เหตุการณ์ที่สำคัญๆ สองสามเหตุการณ์ รวมถึงการกระทำอันป่าเถื่อน ของทหารอิสราเอลที่ได้โจมตีพี่น้องมุสลิมในเขตฉนวนกาซาประเทศปาเลสไตน์นานเป็นเวลา 22 วัน ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของชาวปาเลสไตน์ ด้วยการยืนหยัดต้านทานต่อความป่าเถื่อนของทหารอิสราเอล ผู้นำสูงสุดได้ยกย่องการต้านทานการถูกกดขี่ข่มเหงของประชาชนชาวกาซาว่า เป็นการแสดงความเด็ดเดี่ยวของพวกเขาที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่ง และได้ตอกย้ำความปราชัยที่น่าอัปยศอดสูของกองกำลังทหารรัฐบาลเถื่อนยิวไซออนิสต์ในกาซาที่เพิ่งจบลง ซึ่งได้ทำให้ความจริงที่สำคัญยิ่ง ที่ว่าประชาชาติของโลกไม่ว่าประเทศใดก็ตามพวกเขาสามารถที่จะเผชิญต่อต้านอำนาจการคุกคามและการปกครองที่กดขี่ได้ และยังสามารถเอาชนะพวกเขาได้ในที่สุด

ด้านนายบารัค โอบามา ประธานาธิปดีสหรฐัอเมรกิา ก็ได้อัดเทปการอวยพรวันปีใหม่แก่ประชาติอิหร่านอย่างเป็นทางการด้วยในเวลาเดียวกัน แต่การอวยพรในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปมากนักกับการอวยพรครัง้กอ่นๆ ของประธานาธปิดสีหรฐัฯ ซึ่งพอที่จะสรุปมีหัวข้อใหญ่ดังนี้ คือ บารัค โอบามา พร้อมที่จะนำการเริ่มต้นใหม่ และเข้ามากระชับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหราน พร้อมกับการทำสญัญาขอ้ผกูมดัระหวา่งประเทศกบัประเทศอหิรา่น

แต่ก็ยังไม่วายอ้างกฏเกณฑ์เดิมๆ คือ อิหร่าน จะต้องหยุดยั้งการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ หยุดให้การสนับสนุนกลุ่มฮิซบุล เลาะฮ์ ในเลบานอน และหา้มเขา้ไปแทรกแซงทางการเมอืงในประเทศอริคั

อีกประการ ก็คือเขายังใส่ร้ายประเทศอิหร่านว่าเป็นประเทศที่สนับสนุนลัทธิการก่อการ

ร้ายทั่วโลก ก็ถือว่าไมได้มีมิติอะไรใหม่เลย ทั้งที่ นายบารัค โอบามา เองก็ประกาศตั้งแต่แรกเริ่มหาเสยีงเลอืกตัง้ตาม สโลแกน “การเปลีย่นแปลง” แต่จากคำพูดโดยรวมข้างต้นก็ยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิด

อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอเมนีอี ได้กล่าวตอบโต้นายบารัค โอบามา ทันที ในการปราศรัยใหญ่ที่เมืองมัชฮัดอันศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าประชาชนเรือนล้านและมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศวา่ “เขาไดก้ลา่วอวยพรปไีหมแ่กป่ระชาชาต ิอหิรา่น แตใ่นขณะเดยีวกนักไ็ดก้ลา่วโทษประเทศ และประชาชาติอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายและเป็นผู้คิดค้นอาวุธนิวเคลียร์”

ผู้นำการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน กล่าวว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในนโยบายการเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐอเมริกา”

และกล่าวอีกว่า สหรัฐอเมริกายังไม่ได้แสดงสัญญาณใดๆ ถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติการเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อประชาชาติอิหร่านให้เห็นอย่างแท้จริงเลย

“เขา (บารัค โอบามา) บอกเราให้มานั่งโต๊ะเจรจาร่วมกัน ภายใต้สโลแกนของการเปลี่ยน แปลงที่ว่าให้เรามาแก้ไขความสัมพันธ์กันเถอะ ขอโทษ! เราขอทราบได้ไหมว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรกัน? โปรดทำให้ชัดเจนแก่เราก่อน

เราไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่มีแค่ สโลแกนเท่านั้น (เพราะจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆเลยยังคงไว้เช่นเดิมทั้งสิ้น) แต่การเปลี่ยนแปลงในทัศนะของเราคือการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับการปฏิบัติด้วย ไม่ใช่มีแต่สโลแกน แต่ยังมีจุดประสงค์ร้ายเช่นเดิม วันนั้นท่านให้สโลแกนว่าท่านจะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่พอเอาเข้าจริงเราก็เห็นแล้วว่าเป้าหมายยังคงเหมือนเดิม แบบนี้เขาไม่เรียกว่าเปลี่ยนแปลง แต่เขาเรียกว่า เหลี่ยมโจรต่างหาก การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงคือการปฏิบัติและเป้า

หมายต้องเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปด้วยเท่านั้น” ผู้นำสูงสุดได้กล่าวย้ำว่า สหรัฐอเมริกาไม่

ได้แสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เห็นด้วยการปฏิบัติเลย

อีกประการการตั้งกฏเกณฑ์ต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ใคร่จะบอกว่ากฏเกณ์ของเราก็ยังคงเดิมเช่นกัน เช่นการยกเลิกการคว่ำบาตรต่างๆทั้งหมด และที่สำคัญหนี้สินที่รัฐบาลสหรัฐ อเมริกาเป็นหนี้ประชาชาติอิหร่านอยู่ก็ต้องมาคืนกันเสียก่อน

อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาได้ริเริ่มนโยบายการเป็นปฏิปักษ์กับประเทศอิหร่านตั้งแต่อิหร่านได้รับชัยชนะการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 และประชาชาติของเราจะไม่มีวันลืมว่าเราไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีใดๆ เลยจากสหรัฐอเมริกา ขณะนั้นสิ่งแรกที่อเมริกาได้ทำกับเรา คือการกระตุ้นบรรดาผู้ที่ขัดขวางและต่อต้านการปฏิวัติอิสลามในประเทศอิหร่าน และสนับสนุนบรรดาบุคคลเหล่านั้น สร้างมาตรการการแบ่งแยกและการปฏิบัติการก่อการร้าย

อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี ยังตราหน้าสหรัฐอเมริกาว่า สนับสนุน ซัดดัม ฮุสเซ็น อดีตนักเผด็จการชาวอิรัคให้ก่อสงครามกับอิหร่านที่ยืดเยื้อยาวนานถึงแปดปี และกล่าวว่าซัดดัมเป็นผู้มอบหมายให้เก็บอาชญากรรมในวอชิงตันไว้เป็นความลับ รวมทั้งการระดมยิงอาวุธเคมีแก่ประชาชาติอิหร่านก็ได้รับการยอมรับจากนักเผด็จการด้วย ซัดดัม ฮุซเซน จะไม่สามารถโจมตีอิหร่านได้หากวอชิงตันไม่ได้เปิดไฟเขียวให้ในขณะนั้น”

ผู้นำสูงสุด ยังวิจารณ์อีกว่า สหรัฐอเมริกาใช้น้ำเสียงหยาบคายต่ออิหร่านในเรื่องโครงการนิวเคลียร์จนถึงขณะนี้ สหรัฐอเมริกาได้ข่มขู่ประเทศของเราในหลากหลายสถานการณ์ ได้ข่มขู่อิหร่านอยู่ เป็นนิจสินด้วยการบอกว่าจะโจมตี พวกเขามักจะกล่าวอยู่เรื่อยๆ ว่าเรามีกำลังทหารโจมตีทำลายอิหร่านอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็แค่กล่าวอยู่บนโต๊ะเท่านั้น

ผู้ น ำ สู ง สุ ด ไ ด้ ก ล่ า ว เ พิ่ ม เ ติ ม อี ก ว่ า ประชาชาติอิหร่านจะไม่ถูก หลอกลวง หรือ ถูกคุกคาม โดยการข่มขู่ของสหรัฐอเมริกา อีกต่อไป

อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี ยังได้ตอบวอชิงตันอย่างแรง เนื่องจากการทำให้เครื่องบินโดยสารของอิหร่านตกในปี 1988 โดยการยิงจรวดจากเรือรบสหรัฐอเมริกา จนมีผู้โดยสารผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตรวมทั้งหมด 290 คน แต่ก็ไร้การรับผิดชอบจนถึงทุกวันนี้

“หากคุณเปลี่ยน เราก็จะเปลี่ยนด้วย” แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐ อเมรกิาจะตอ้งเปน็ไปดว้ย “ความจรงิใจ” เทา่นัน้!

โดย นูรอัยนีย์

ความจำเปน็ของการรูจ้กัเพือ่นรว่มเดนิทางและเพือ่นบา้น จะเป็นบ่อเกิดแห่งนานาปัญหา และเพื่อนบ้านที่ไม่ดี จะมีแต่นำมาซึ่งความทุกข์ความไม่สบายใจต่างๆให้เกิดขึ้น มากไปกว่านั้นผลของการร่วมเดินทางกับบุคคลเช่นนั้นในการเดินทาง หรือคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านเช่นนั้นในช่วงการใช้ชีวิตจะส่งผลทางลบแก่จิตวิญญาณของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมนุษย์ได้คบค้าสมาคมกับบุคคลที่ไม่ดีเหล่านั้นสักระยะหนึ่งก็จะถูกชักนำไปสู่ความชั่วช้า และหลงทางโดยไม่รู้ตัว

ด้วยเหตุนี้เองเราจะต้องให้ความสนใจกับผู้ร่วมเดินทาง และผู้ที่อยู่ร่วมแนวความคิดก็เช่นกัน เราต้องมั่นใจว่าบุคคลนั้นๆ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผู้ศรัทธา เป็นคนมือสะอาด และเป็นคนดีจริงๆ

Changeของ‘โอบามา’กแ็ค‘่สโลแกน’!!

Page 4: Imamiyah Journal 02

� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ชีอะฮฺวันนี้ SHI’A TODAY

สมาคมสตรีมุสลิมเพื่อเอกภาพแห่งประเทศไทย (ฝ่ายเยาวชนสัมพันธ์) ได้ตระหนักถึงเยาวชนที่กำลังเริ่มผันเปลี่ยนเข้าสู่วัยรุ่น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใหญ่ควรให้กำลังใจ ให้คำชี้แนะ และชี้นำเยาวชนตั้งแต่ย่างก้าวแรกของวันที่เยาวชนบรรลุนิติภาวะ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่สนามหรือเวทีแห่งการดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และนำมาซึ่งคุณธรรมในอนาคต ด้วยเหตุนี้ สมาคม ฯ จึงได้จัดงานประจำปีสำหรับเยาวชนสตรีมุสลิม โดยใช้ชื่อว่า “รับขวัญสาวรุ่น...สู่สายธารแห่งศรัทธา” เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2552 ณ ศูนย์วัฒนธรรมอิสลาม อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย มีเยาวชนร่วมพิธีในครั้งนี้ 69 คน รวมทั้งบรรดาผู้ปกครองและผู้มีเกียรติอีกเป็นจำนวนมาก งานนี้ได้รับเกียรติจากท่านอายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัดนะกี ชาฮ์รุคี ตัวแทนวะลี ยุลฟะกีฮ์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย มร.มุฮัมมัด ตัมฮีดี ผู้ช่วยทูตฝ่ายวัฒนธรรมฯ และอิม่ามนำนมาซญะมาอัต แก่เยาวชน โดยท่าน เชค มะฮ์ดี อามีรี ในงานได้มีการให้ความรู้ในเรื่องศาสนาบัญญัติและได้ให้ความสนุกสนานแก่เยาวชน และดำเนินไปจนจบพิธีด้วยความเรียบร้อย

รบัขวญั‘สาวรุน่’สูส่ายธารแหง่ศรทัธา

เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมามู ล นิ ธิ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร ศึ ก ษ า กุ รอานอัรรอซูลลุลอะอ์ซอม (ศ็อลฯ) ภายใต้การดูแลขององค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติญามิอะตุลมุสตอฟาได้ส่ง 12 นักกอรีไทยไปประเทศอิหร่าน เพื่อรับการถ่ายทอดหลักสูตรการอ่านกุรอานแบบเร่งรัดใช้เวลา 30 วันสามารถอ่านอัลกุรอานได้

เชคกอซิม อัสการีย์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษากุรอานอัรรอซูลลุอะอซ์อม (ศอ็ลฯ) เปดิเผยกบั อมิามยีะฮ ์เจอร์นัลว่า “ทางมูลนิธิได้ส่งนักกอรีไทย 12 คน ตามโครงการ “ต้นกล้า กอรีไทยไปอิหร่าน” ซึ่งทางมูลนิธิฯ ต้องการส่งเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับ อัลกุรอาน และต้องการนำเสนอความยิง่ใหญข่องทา่นศาสดามฮุมัมดั (ศอ็ลฯ)

มูลนิธิจึงได้มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของอัลกุรอาน ซึ่งเราได้พิจารณาดูตำรับตำราต่างๆ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาใน

ประเทศไทย พบว่าไม่มีหลักสูตรใดที่สามารถใช้ เรียนสอนอัลกุรอานได้อย่างเร่งรัด ภายหลังจากที่ได้เปิดทีท่ำการสาขาขึน้มา 3 สาขา ที ่จ.ปทมุธาน,ี จ.ปัตตานี และ จ.สตูล” และว่า

“เราก็ยังใช้การเรียนการสอนแบบเดิม ซึ่งใช้เวลาที่ยาวนานมากในการที่จะให้เด็กอ่านอัลกุรอานได้ ก็เลยมาคิดว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ใช้เวลาที่กระชับและสั้นขึ้น โดยเด็กสามารถอ่านอัลกุรอานได้และเข้าใจในถ้อยคำดว้ย กเ็ลยพจิารณาวา่ เดก็ทีเ่รยีนภาษา อังกฤษทำไมจึงสามารถอ่านและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ขนาดหนังสือ A B C ยังมีการพัฒนาขึ้นมาทุกปีเพื่อที่จะให้เด็กเรียนแล้วเข้าใจง่ายขึ้น แต่พอเปน็อลักรุอานเรากลบัใชร้ะบบเดมิๆ ที่ผ่านมาหลายร้อยปี ผมก็เลยมองดูว่า มันน่าจะมีช่องทางใหม่ๆ ที่จะพัฒนา การเรียนการสอนให้มันดีกว่าเดิม”

เชคกอซิม กล่าวต่อว่า “ก็เลยปรึกษาฝ่ายวิชาการด้านการศึกษา อัลกุรอานของอิหร่าน จากนั้นเราก็ได้

เชิญเขามาเมืองไทยเพื่อร่างหลักสูตรการอ่านอัลกุรอานแบบเร่งรัด ซึ่งใช้เวลาร่างหลักสูตรประมาณ 3 เดือน ซึ่งได้ผ่านการประเมินแล้วว่า ถ้าผู้เรียนผ่านหลักสูตรนี้ครบ 30 คาบ ก็จะสามารถอ่านอัลกุรอานได้อย่างรวดเร็ว จึงมีการค้นหาคณะครูที่มีความสามารถในการอ่านอัลกุรอาน แบบกอรีในเมืองไทย เพื่อมาเข้าโครงการต้นกล้านักกอรีไทยไปอิหร่าน

เพื่อให้ท่านเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนรู้การอ่านที่ดี ถูกต้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประเทศอิหร่านได้พัฒนาการอ่านอัลกุรอานมาก ในเวทีนานาชาติอิหร่านเป็นรองแค่เพียงอียิปต์เท่านั้น คนที่เคยผ่านเวทีของอิหร่าน หรือว่าผ่านเวทีในมาเลเซียหรือกัวลาลัมเปอร์มาแล้ว เขาเปรียบเทียบว่าเวทีในเตหะรานนั้นมีมาตรฐานสูงกว่าเวทีที่ กัลลาลัมเปอร์ เพราะฉะนั้นคนที่เราได้คัดเลือกมา เราก็จะส่งไปอิหร่าน เพื่อฝึกฝนการอ่าน ให้ดีขึ้น ตลอดจนพัฒนาเทคนิคในบางส่วน” และว่า

“ วั น นี้ นั ก ก อ รี ไ ท ย ใ น เ ว ทีนานาชาติ เราไม่ค่อยได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับมา ที่ได้รับรางวัลก็จะเป็นฝ่ายมุสลิมะห์เท่านั้น ส่วนนักกอรีฝ่ายชายเป็น 10 ปีแล้วมั้งที่เราไม่เคยได้รับรางวัลติดมือกลับมา ก็เลยอยากจะให้นักกอรีของเราส่วนหนึ่งได้ไปสัมผัส ได้มองเห็นถึงจุดบกพร่องของเราในวันนี้ แล้วก็ไปเรียนเทคนิกและมาตรฐานในการตัดสิน การให้คะแนน ในเวทีระดับนานาชาติ เช่น

การหยุด การเริ่มต้น อย่างไรถึงจะได้คะแนน หยุดตรงไหนตัจญวีดอย่างไรถึงจะโดนตัดคะแนน

มูลนิธิฯ จึงได้ส่งนักกอรีเหล่านี้ไปศึกษาถึงมาตรฐานและเทคนิกต่างๆ เพื่อที่จะได้นำกลับมาถ่ายทอด นำหลักสูตรมาใช้ในเมืองไทย เพราะคนที่จะนำหลักสูตรมาใช้ ก็ต้องเข้าใจหลักสูตรเสียก่อน

ซึ่งบางครั้งเรามีหลักสูตรจริงแต่การที่จะเอาหลักสูตรนำมาใช ้ คนใช้ต้องเข้าใจหลักสูตรก่อน เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เราก็ต้องให้อาจารย์ส่วนหนึ่งของเราไปเข้าใจหลักสูตรวิธีการสอนกับคนที่เขาเรียบเรียงหลักสูตรขึ้นมา มานำเสนอให้กับเมืองไทย เรามองว่านี่คือการรับใช้อัลกุรอานของมูลนิธิฯ รวมทั้งเป็นการรับใช้มุสลิมในประเทศไทย” เชคกอซิม กล่าว

เชคกอซิม ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “โครงการนี้เราได้คัดเลือกอาจารย์ที่สอนอัลกุรอานในจังหวัดนำร่องต่างๆ ทั้งหมด 9 จังหวัด คือ พังงา กระบี่ ตรัง สตูล พัทลุง นครศรีธรรมราช ปัตตานี

มติใิหมค่วามรว่มมอืพีน่อ้งซนุน-ีชอีะห ์ผลติ‘นกักอร’ีแหง่ประเทศไทย

ยะลา และในกรุงเทพฯ หนึ่งในนั้นก็คือท่านอาจารย์ฮารูน เมฆลอย อาจารย์โรงเรียนอัล-ค็อยรียะห์ แขวงจระเข้ขบ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งท่านเคยได้รับรางวัลหลายรางวัลในการแข่งขันการอ่านกอรีในประเทศไทย และผู้ที่สำเร็จหลักสูตรการเรียนการสอนก็จะกลับมาเป็นตัวแทนของมูลนิธิในจังหวัดนั้นๆ เพื่อเปิดสาขาการเรียนการสอน โดยจะเป็นผู้รับผิดชอบโครงการสอนอัลกุรอาน และมูลนิธิจะเป็นผู้สนับสนุนอาจารย์เหล่านี้ที่กลับมาเปิดสาขาสอนหลักสูตรการเรียนการสอนอัลกุรอานแบบใหม ่ ตอ่ไป”

อนึ่ง โครงการนี้อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การญะมีอะตุลมุสฏอฟา อัลอาลามียะห์ ซึ่งเป็นองค์การการศึกษาศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอหิรา่น มีเครือข่ายอยู่ใน 65 ประเทศทั่วโลก และมีนักศึกษาที่อยู่ภายใต้การดูแลประมาณ 1 หมื่นกว่าคนจาก 108 ประเทศทั่วโลก และประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น

คณะที่เดินทางไปฝึกกอรีที่ประเทศอิหร่านถ่ายรูปร่วมกับผู้บริหารมูลนิธิฯก่อนออกเดินทาง

อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัดนะกี ชาฮ์รุคี

สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม ร่วมกับมัสยิด ซอฮิบุซซะมาน (อ.) จัดกิจกรรมค่ายเยาวชนกับอัลกุรอาน ณ มัสยิดซอฮิบุซซะมาน (อ.) คลอง 13 จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 12-18 เมษายน 2552 พิธีเปิดค่ายโดยเชคอะมีรี ตัวแทนจากญะมีอะตุ้ลมุสตอฟา ประจำประเทศไทย และมีรองประธานกกอ.ประจำจังหวัดปทุมธานี, นายก อบต. บึงคอไห, อิมามและสัปบุรุษจากมัสยิดใกล้เคียง มาร่วมในพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย โดยมีเยาวชนเข้าร่วมอบรมจำนวน 65 คน จากกรุงเทพฯ ปทุมธานี นครนายก ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา สตูล และพี่เลี้ยงอีกประมาณ 20 คน

กิจกรรมต่างๆ ในค่าย ได้รับความร่วมมือจากวิทยากรสมาคมกอรีแห่งประเทศไทย จำนวน 4 คน มาให้ความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอาน โดยมี เชคซอลิห์ ภู่มีสุข, เชคมุญาฮิด เกียรติธารัย, อ.ชะรีฟ แสงวิมาน, อาลี รัมมะภาพ เป็นวิทยากรมาให้ความรู้ด้านศาสนาและอื่นๆ สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดค่ายอบรมในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องมุสลิมที่ร่วมกันบริจาคสนับสนุนกิจกรรม และได้รับความร่วมมือจากพี่น้องในชุมชนมัสยิดซอฮิบุซซะมาน (อ.) ในการปฏิบัติงานในค่ายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ส่วนในวันอาทิตย์ที่ 18 เม.ย.52 ซึ่งเป็นวันปิดค่ายอบรม ได้มีการจัดงานออกร้านขายอาหารเพื่อหารายได้ให้กับสถาบันฯ และมัสยิดซอฮิบุซซะมาน (อ.) สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมทางศาสนา และมีกิจกรรมบนเวทีโดยเยาวชนและพี่เลี้ยงในค่าย เยาวชนจากชุมชนมัสยิดอิมามอะลี (อ.) และวิทยากรจากสมาคมกอรีฯ โดยมี มร. ญะล้าล ทัมเละฮ์ ผู้ช่วยทูตฝ่ายวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตฯแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย มาเป็นประธานในพิธีปิด รวมทั้งมีแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานอีกหลายท่าน

ผลที่ได้รับจากการจัดค่ายอบรมในครั้งนี้ นอกจากเยาวชนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการอ่านอัลกรุอานที่ถูกต้องแล้ว ยังได้รับความรู้ต่างๆ ทางด้านศาสนาและการอยู่ร่วมกัน ทั้งยังทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันของพี่น้องมุสลิมในชุมชนทั้งซุนนีและชีอะฮ์.

สถาบนัสง่เสรมิการศกึษาและวจิยัฯ รว่มมอื‘มสัยดิซอฮบิซุซะมาน’ จดักจิกรรม‘คา่ยเยาวชนกบัอลักรุอาน’

Page 5: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 �ชีอะฮฺวันนี้ SHI’A TODAY

มูลนิธิอิมามมะฮ์ดี และอะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดม ีรว่มจดัอบรมบคุลากร อลัมะฮด์ ีครั้งที่ 1 ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรให้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพของการเป็นชีอะห์ที่แท้จริง

เมื่อวันที่ 24-26 เมษายน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา มูลนิธิอิมามมะฮ์ดี และ อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี (ประเทศไทย) ได้ร่วมกันจัดอบรมบุคลากร อัลมะฮ์ดี ครั้งที่ 1 ณ สถาบันศึกษาวิชาการศาสนา อัลมะฮ์ดี อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้น โดยมีบุคลากรและนกักจิกรรมจากพืน้ทีต่า่งๆ ทัว่ภาคใต ้เชน่ สงขลา, สตูล, ตรัง, พัทลุง, ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส, กระบี่, พังงา, ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช กว่า 100 คนเข้าร่วมในการอบรมครั้งนี้ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี, ซัยยิด อิบรอฮีม ฮูซัยนี, เชคอะลี ฟารุก ให้เกียรติมาเป็นผู้บรรยาย

หัวข้อหลักในการอบรมได้ถูกแบ่งออกเป็น 6 หัวข้อใหญ่ๆ คือ

- คุณลักษณะของการเป็นชีอะห์ที่แท้จริง บรรยายโดย ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี

- วิลายะตุลฟะกีฮ์ บรรยายโดย ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี

- จริยธรรม ศาสตร์ที่ถูกมองข้าม บรรยายโดย ซัยยิด อิบรอฮีม ฮูซัยนี

- วะฮาบีย์ลัทธิแห่งการบิดเบือน บรรยายโดย เชค อะลี ฟารุก

- การรอคอยที่แท้จริงต่อการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) บรรยายโดย ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี

- สถานการณ์โลก บรรยายโดย ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี

โดย ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี นายกสมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน ในฐานะวิทยากรในการอบรมครั้งนี้เปิดเผยว่า การจัดอบรมครั้งนี้เป็น

ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของชีอะห์ที่มีความคิดที่จะรวมตัวกันใช้เวลาให้มีประโยชน์เพื่อเข้าสู่ความสำเร็จทั้งดุนยาและอาคิเราะห์ จริงๆ แล้วการจัดอบรมในลักษณะนี้ ควรจะมีนานแล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลายประการจึงยังไม่เกิดขึ้น แต่ในวันนี้นั้น ได้มีพี่น้องของเรากลุ่มหนึ่งในนามมูลนิธิอิมามมะฮ์ดี และอะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี ได้ริเริ่ม และคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พี่น้องชีอะฮ์ที่มีความรักต่อลูกหลานอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) นั้นจะต้องเข้าสู่ขั้นระดับพัฒนาตัวเองจากการเป็นผู้บริโภคไปสู่การเป็นผู้ผลิต ดังนั้นการอบรมในครั้งนี้เป้าหมายคือการพัฒนาบุคลากรของเราให้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพของการเป็นชีอะห์ที่แท้จริง ซึ่งเราได้เสียเวลาและโอกาสอย่างมากมายในวันต่างๆ ที่ผ่านมา และกล่าวว่า

“โลกปัจจุบันทั้งโลกหิวกระหายวิชาการและการชี้นำจากชีอะห์ ความผิดพลาดนั้นเกิด

จากตัวพวกเราเองต่างหากที่ไม่ได้รับใช้อย่างแท้จริง เราไม่ยอมพัฒนาตัวตน เรากลายเป็นผู้ที่คอยแต่จะบริโภคอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ แล้วการเป็นผู้บริโภคของพวกเราก็ยังมิได้ เป็นผู้บริโภคที่แท้จริงด้วยซ้ำ เพราะหากเป็นผู้บริโภคที่แท้จริงมันก็จะมีการพัฒนาไปในตัว ทั้งๆ ที่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของชีอะห์ทุกๆคนในโลกนี้คือ ‘เป็นผู้ผลิตและเป็นผู้สร้าง’ นั่นคือตำแหน่งสุดท้ายของชีอะห์ แต่การเป็นผู้ผลิตก็จะเป็นได้ตามศักยภาพของแต่ละบุคคลซึ่งแตกต่างกันออกไปตามระดับของการพัฒนาตัวตน”

ดังฮะดีษจากบรรดาอิมามมะอ์ซูม (อ.) ว่า ‘ชีอะห์ของฉันนั้นเปรียบเสมือนดาวที่มีแสงอยู่ในตัวเองเป็นดาวนำ หากใครยึดดวงไหนก็จะได้รับทางนำ คือชีอะห์ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมใด ชีอะห์คือดาวนำของชุมชนและสังคมนั้นๆ ตามศักยภาพของแต่ละคนซึ่งอาจแตกต่างกันไป และนั่นคือ

ตำแหน่งของชีอะห์ทุกๆ คน ดังนั้นชีอะห์ทุกคนพึงทราบถึงตำแหน่งอันสำคัญและสูงส่งนี้ไว้ เพื่อที่จะพัฒนาตนเองจากการเป็น ดาวเคราะห์ ให้กลายเป็นดาวฤกษ์ที่ส่องแสงเป็นทางนำแก่ชุมชนและสังคมทั่วทั้งโลก” ซัยยิด สุไลมาน กล่าว

อาจารย์อุสมาน ลูกหยี ซึ่งได้เข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้กล่าวว่า ”การอบรมครั้งนี้ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น จึงรู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้น เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้น ก็จะได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น”

ด้านนายประสิทธิ์ (อับดุลการีม) สันองค์ ประธานมูลนิธิอิมามมะฮ์ดี กล่าวว่า “การจัดการอบรมบุคลากรอิมามมะฮ์ดีในครั้งนี้ เป้าหมายคือต้องการสร้างนักปฏิบัติงานเพื่ออิสลามตามแนวทางที่อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้วางรากฐานไว้ และเพื่อให้นักปฏิบัติงานทำงานร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน” และยังได้กล่าวอีกว่า

“การจัดอบรมเช่นนี้จะมีต่อไปเรี่อยๆ อาจจะวนไปตามจังหวัดต่างๆ ในครั้งต่อๆ ไป และยังมีโครงการจัดอบรมบุคคลากรเยาวชนอีกด้วยซึ่งจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นขอขอบคุณพี่น้องผู้ศรัทธาทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสมทบทุนงบประมาณและเสียสละกำลังกายในการจัดอบรมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง”

ส่วน เชคมาลีกี ภักดี ผู้อำนวยการ อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การอบรมในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เป็นความสำเร็จที่มีความร่วมมือกันระหว่างผู้จัดการอบรมและผู้เข้าร่วมอบรมทุกคน” และกล่าวต่ออีกว่า

”ทางทีมงานการจัดอบรมในครั้ งนี้ ได้ทำการบันทึกเทปการบรรยายของวิทยากรไว้ทั้งหมดซึ่งหากผู้ใดประสงค์ที่จะสั่งซื้อก็สามารถติดต่อสอบถาม ได้ที่มูลนิธิอิมามมะฮ์ดี และ อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี (ประเทศไทย) ”

มลูนธิอิมิามมะฮด์’ีจบัมอื‘อะฮลฺลุบยัตอฺะคาเดม’ี จดัอบรม‘เสรมิศกัยภาพ’และ‘พฒันา’นกัปฏบิตังิานเพือ่อสิลาม

มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาอัล กุรอาน อัรรอซูลุลอะอ์ซอม (ศ็อลฯ) จัดค่ายยุวชนกุรอานสัมพันธ์ครั้งที่ 2 ส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และคัมภีร์อัลกุรอาน โดยมียุวชนสนใจเข้าร่วมล้นหลาม 220 คนจากทั่วประเทศ

โดยระหว่างวันที่ 10-15 เมษายนที่ผ่านมา รวม 6 วัน ณ คา่ยรมิขอบฟา้ เมอืงโบราณ ตำบล บางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาอัลกุรอาน อัรรอซูลุลอะอ์ซอม (ศ็อลฯ) ได้จัดค่ายยุวชน กุรอานสัมพันธ์ครั้งที่ 2 เพื่อส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และคัมภีร์อัลกุรอาน รวมทั้งสร้างความผูกพันระหว่างยุวชนกับคัมภีร์อัลกุรอาน อีกเป็นการสร้างความรัก ความเข้าใจ และ

เอกภาพในหมู่ยุวชนที่เข้าร่วมอบรม โดยมียุวชน 9-15 ปี สนใจเข้าร่วมอบรมกว่า 220 คน จาก 15 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งยังมีผ่ายวิชาการ สันทนาการ พี่เลี้ยง และผู้ปกครองที่สนใจเข้าร่วมสังเกตการณ์อีกกว่า 50 คน ซึ่งนับได้ว่าค่ายยุวชนกุรอานสัมพันธ์ครั้งที่ 2 เป็นค่ายอบรมที่ใหญ่ที่สุดของยุวชนชีอะห์ในปีนี้

เชคกอซิม อัสการีย์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาอัลกุรอาน อัรรอซูลุลอะอ์ซอม (ศ.) เปิดเผยกับ “อิมามียะฮ์ เจอร์นัล”ว่า ความจริงปีนี้ มูลนิธิฯตั้งเป้าผู้เข้าร่วมอบรมไว้ที่ 150 คน แต่มีผู้ปกครองสนใจส่งส่งบุตรหลานเข้าร่วมอย่างมากมาย จนมูลนิธิต้องเพิ่มจำนวนเป็น 220 คน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของผู้สนใจเข้าร่วมอบรม แต่เนื่องจากมูลนิธิฯ มีการแพลนงบประมาณล่วงหน้า จึงทำให้ปีนี้มีศักยภาพที่จะรับผู้

เข้าร่วมอบรมเพียงเท่านี้ และทำให้มีผู้สนใจอีกบางส่วนที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วม อย่างไรก็ตามสำหรับในปีหน้า ทางมูลนิธิจะขยายโควต้าให้มากขึ้นเพื่อรองรับผู้สนใจ ซึ่งถือเป็นมิติใหม่และเป็นเรื่องดีของสังคมชีอะห์อิมามียะฮ์ ที่ทั้งผู้ปกครองและยุวชนต่างให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการศึกษาเรียนรู้หลักศาสนาอิสลามและคมัภรีอ์ลักรุอานเพิม่มากขึน้

เชคกอซิม กล่าวถึงเป้าหมายของค่ายอบรมครั้งนี้ว่า “ปัจจุบันปัญหาวัยรุ่นกลายเป็นประเด็นใหญ่และสำคัญของสังคมระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศโลกที่สามและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และประเทศไทยก็ประสบปัญหานี้ และมีแนวโน้มว่าจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ยุวชนจึงถือเป็น ต้นกล้า ที่สำคัญของประเทศ และเป็นดรรชนีชี้วัดถึงอนาคตของประเทศไทยในภายภาค

หน้า หากประเทศได้มียุวชนที่มีคุณภาพ นั่นคือหลักประกันความรุ่ งโรจน์ของสังคมและประเทศในอนาคต” และว่า

“หากมองย้อนดูและวิเคราะห์ประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างละเอียดอ่อนจะเห็นว่า รากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง คือการห่างไกลจากคำสอนของศาสนา ซึ่งมิใช่เป็นเพราะนักการศาสนามีน้อยลง เพียงแต่ว่าขาดกุศโลบายในการนำคำสอนเหล่านั้นเข้าสู่จิตวิญญาณของยุวชนหนุ่มสาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาวการณ์ปัจจุบันที่กระแสโลกาภิวัตน์และการสื่อสารไร้พรมแดนเป็นเสมือนดาบสองคมที่ เยาวชนต้องเผชิญ ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งหากไม่มีวิจารณญาณในการแยกแยะและกลั่นกรอง”

“ดังนั้นมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาอัลกุรอาน อัรรอซูลุลอะอ์ซอม (ศ็อลฯ)

จึงเห็นว่า เซรุ่ม ที่จะป้องกันภัยเหล่านั้นได้ก็คือการนำคำสอนและบทบัญญัติแห่งศาสนาที่ถูกต้องเข้าสู่ จิ ต วิ ญ ญ า ณ ข อ ง ยุ ว ช น เ พี ย งประการเดียวเท่านั้นที่น่าจะบรรเทาปัญหาลงได้ โดยเน้นถึงความเข้าใจในแก่นแท้ของคำสอนให้เข้ากับสติปัญญา แทนการสอนแบบท่องจำ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน” เชคกอซิม อัสการีย์กล่าวทิ้งท้าย

‘มลูนธิสิง่เสรมิการศกึษาอลักรุอานฯ’จดัคา่ยอบรมยวุชนยิง่ใหญ ่

ผูป้กครองสนใจสง่ลกูหลานเขา้รว่มลน้โควตา้!

บรรยากาศในห้องจัดอบรม

เชคกอซิม อัสการีย์

ชมประมวลภาพบรรยากาศ ค่ายอบรม หน้า 9

Page 6: Imamiyah Journal 02

� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 WORLD

ต่างประเทศ

ของอิหร่านในการปล่อยดาวเทียม“อุมีด”ครั้งนี้ สร้างความวิตกไม่น้อยต่อกลุ่มชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศส รวมทั้งอิสราเอลศัตรูคู่แค้นของอิหร่านในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่มองว่าเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของอิหร่าน ที่จะนำไปสู่การผลิตขีปนาวุธพิสัยไกลติดหัวรบนิวเคลียร์ในบั้นปลายขีปนาวุธพิสัยไกลที่สามารถยิงถล่มเป้าหมายได้ทุกประเทศที่เป็นศัตรูในยุโรป และสหรัฐอเมริกา

คล้อยหลังจากความสำเร็จไม่กี่ชั่ วโมง ประธานาธิบดีมะห์มูด อะห์มะดี เนญาด ของอิหร่าน กล่าวว่า “ดาวเทียมอุมีด ถือเป็นความ

ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของประเทศอิหร่าน มิได้มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากเพื่อสันติล้วนๆ”

และนาย เมะห์นูชะห์ มุตตะกี รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านได้กล่าวว่า “ดาวเทียมอุมีดถูกส่งขึ้นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ และเพื่อสร้างสันติภาพเท่านั้น”

แต่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเวลาไล่เลี่ยกัน นายโรเบิร์ต กิบส์ โฆษกประจำทำเนียบขาวสหรัฐ ออกแถลง ความเคลื่อนไหวของอิหร่านครั้งนี้ว่า “เป็นความพยายามที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการส่งขีปนาวุธ ความพยายามจะสานต่อโครงการนิวเคลียร์ที่ผิดกฎหมาย”

ปีที่แล้วอิหร่านโชว์การทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยกลางแบบ”ชะฮาบ 3” ซึ่งมีระยะยิงถล่มเป้าหมายในราว 2,000 กิโลเมตรเป็นผลสำเร็จตามเป้าหมาย เป็นการแสดงให้เห็นว่า อิหร่านสามารถใช้ขีปนาวุธโจมตีกรุง เทลอาวีฟของอิสราเอล หรือกรงุไคโรของอยีปิต ์รวมทัง้กรงุรยิาดของซาอดุอีาระเบยี ได้สบายๆและนั่นเมื่อสองปีที่แล้ว

วันที่จรวดขับดันซะฟีร ์ 2 ได้นำพาดาวเทียม อุมีดขึ้นสู่ห้วงอวกาศนอกโลกอย่างเรียบร้อย ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะแสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดของอิหร่านเลยทีเดียว แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐในสังกัดสำนกังานความมัน่คงแหง่ชาตริายหนึง่บอกวา่ ดาวเทยีม อุมีดของอิหร่านแค่ “น่าสนใจ” ไม่ถึงขัน้ตอ้ง “ตกอกตกใจ” แต่อย่างใด เพราะเทคโนโลย ีดาวเทียมไมใ่ชข่องใหม ่และกม็ขีดีความกา้วหนา้หลายระดบั โดยส่วนตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ขอเปิดเผยนามรายนี้บอกว่าดาวเทียม “อุมีด” ยังแค่พื้นๆ เท่านั้น

นั่นคือสิ่งที่ตะวันตกออกมากล่าวเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับบริวานของตนทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วความสำเร็จของอิหร่านในครั้งนี้สร้างความ

วิตกแก่พวกเขายิ่งนัก เพราะนาย ริค เลห์เนอร์ โฆษกสำนักงานป้องกันขีปนาวุธแห่งชาติสหรัฐ ที่บอกว่า “หนึ่งในความวิตกใหญ่หลวงสุดของสหรัฐมาตลอดคือ ถ้าประเทศใดสามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ ย่อมหมายถึงประเทศนั้นสามารถส่งอาวุธนิวเคลียร์ไปไกลข้ามทวีปได้แน่นอน”

อย่างน้อยความสำเร็จครั้งนี้ ส่งผลให้อิหร่านกลายเป็นสมาชิกใหม่ของชมรมก้าวหน้าทางเทคโนโลยอีวกาศ ซึง่มไีมถ่งึ 8 ประเทศในโลก ที่สามารถส่งดาวเทียมด้วยตัวเองขึ้นสู่วงโคจรนอกโลกได้ ความวิตกหวาดผวาจากอิหร่านรวมทั้งเกาหลีเหนือ ทำให้สหรัฐต้องรีบหาทางป้องกันไว้ล่วงหน้า โดยเข้าไปสร้างฐานเครือข่ายระบบเรดาร์ป้องกันขีปนาวุธ ในประเทศโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็ก เพื่อช่วยปกป้องบรรดาประเทศพันธมิตรในยุโรป จากภัยคุกคามของอิหร่าน จนเกิดการกระทบกระทั่งกับรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรและกองหนุนเหนียวแน่นของอิหร่าน

ส่วนการป้องกันเกาหลีเหนือนั้น สหรัฐสร้างเครือข่ายป้องกันไว้เรียบร้อยแล้ว โดยมีฐานหลักอยู่ 2 แห่งคือ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐอะแลสกา ข้อมูลข่าวกรองของทางการสหรัฐระบุว่า เกาหลีเหนืออาจจะส่งออกเทคโนโลยีไอซีบีเอ็ม หรือ ฮาร์ดแวร์ ให้อิหร่านในปีนี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันสิ่งบ่งบอกว่าที่เกาหลีเหนือมีไอซีบีเอ็มในมือแล้ว แต่ยังไม่โชว์ให้เห็นเต็มที่ อันนี้เป็นการเปิดเผยของ พล.ร.อ.ทิโมธี คีตติง ผู้บัญชาการกองเรือแปซิฟิกของกองทัพเรือสหรัฐ

นกัวเิคราะหบ์างสว่นมองวา่ อหิรา่นตอ้งการ ให้ดาวเทียม “อุมีด” เป็นการส่งสัญญาณบอกให้ชาติตะวันตกได้ล่วงรู้ว่า อิหร่านมีความตั้งใจที่จะเดินหน้า พัฒนาขีดขั้นขีปนาวุธให้มากกว่าที่เป็นอยู่ และที่สำคัญต้องการบอกให้ชาติตะวันตกทั้งหลายได้ทราบว่า การแซงชั่น ทางเศรษฐกิจ ทางวิชาการและปิดกั้นเทคโนโลยีต่างๆ กับประเทศอิหร่านของพวกท่านนั้นไม่มีผลใดๆ เลย

โดย อาณา

สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ในการปล่อยดาวเทียม“อุมีด (แปลว่าความหวัง)” ซึ่งอิหร่านผลิตเองทั้งหมดในประเทศ ขึ้นสู่วงโคจรเมื่อประมาณสองเดือนที่ผ่านมาท่ามกลางการถูกแซงชั่นทุกรูปแบบจากมหาอำนาจตะวันตก

ดาวเทียม “อุมีด” ได้มีการค้นคว้าวิจัยมานานนับสิบปีและอิหร่านเป็นอีกประเทศหนึ่งของโลกที่สามารถผลิตและปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในห้วงอวกาศได้สำเร็จ โดยประเทศที่สามารถผลิตและปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรได้เป็นประเทศแรกของโลกเมื่อเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2500 คือประเทศรัสเซีย ชื่อว่า “สปุตนิก 1” เป็นดาวเทียมที่ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับความหนาแน่น อุณหภูมิ และระดับความหนาแน่นของอิเล็กตรอนในชั้นบรรยากาศสูงสุด สามารถส่งสัญญาณคลื่นวิทยุมาสู่โลกครั้งแรกด้วยเสียง “ปิ๊ก ปิ๊ก” ที่รู้จักกันดี ซึ่งเป็นเสมือนเสียงแห่งการเริ่มต้นยุคอวกาศ โดยสปุตนิก 1 เกิดลุกไหม้ เมื่อกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศโลก

และในปีต่อมาสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่สองของโลกที่ได้ปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรได้เป็นผลสำเร็จเช่นกัน ชื่อว่า “เอ็กส์พลอเรอ” และการแข่งขันกันระหว่างทั้งคู่ได้เริ่มขึ้น ในเวลาต่อมาประเทศอื่นๆ ก็ได้เริ่มมีการพัฒนาและประสพความสำเรจ็ในการปลอ่ยดาวเทยีมขึน้สูว่งโคจรไดแ้ก ่ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน อินเดีย และอิสราเอลตามลำดับ

ดาวเทียม “อุมีด” เป็นดาวเทียมที่ใช้เพื่อการวิจัยและการสื่อสารได้ขึ้นสู่วงโคจร โดยจรวดขับดันซะฟีร์ 2 ตามภารกิจเป้าหมาย”อุมีด” จะทำการเก็บข้อมูล และทดสอบอุปกรณ์ นานราว 1-3 เดือนก่อนกลับคืนสู่โลก โดยช่วงที่อยู่ในอวกาศจะลอยวนรอบโลก 15 รอบทกุ ๆ 24 ชัว่โมง

อันที่จริงอิหร่านมีดาวเทียมอยู่บนวงโคจรแล้ว 1 ดวง คือ สินา1 โดยปล่อยขึ้นไปเมื่อปี 2548 แต่ขึ้นไปกับจรวดของรัสเซีย ความสำเร็จ

ประธานองค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละ มียะฮ์) กล่าวว่า “โลกตะวันตกรู้สึกหวั่นใจต่อการตื่นตัวของมุสลิมทั่วโลกซึ่งมีผล มาจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน และการจัดการแข่งขันโอลิมปิกพระมหาคัมภีร์ อัลกุรอานระดับโลกขึ้น ยิ่งกระตุ้นการตื่นตัวของมุสลิมทั่วโลกเข้าไปอีก”

เฉพาะการสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องมุสลิมศัตรูได้ทำการรุกอย่างหนักในทุกประเทศขณะนี้”

ประธานองค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์) ได้ชี้ให้เห็นถึงผลประโยชน์ของการจัดแข่งขันโอลิมปิกพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ว่าสามารถที่จะทำลายแผนการร้ายเหล่านั้นของเหล่าศัตรูได้

ฮุจญะตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ริฎอ อะอ์รอฟีย์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ทุกองค์กรในศาสนาอิสลามที่ทำงานเพื่อศาสนาอิสลามจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับ ความเป็นเอกภาพ และหนทางที่ดีที่สุดในการนำสู่ความเป็นเอกภาพ และสร้างความตื่นตัวแก่มุสลิมก็คือ การให้การคำถึงและให้ความสำคัญกับพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เนื่องจากว่าหากเยาวชนของเรา ในโลกอิสลามได้รู้จักและลึกซึ้งกับคำสอนของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน จะทำให้พวกเขาไม่ตกหลุมพรางของพวกศัตรูได้แน่นอน”

ท่านได้เปิดเผยต่อว่า “แน่แท้ยิ่ง พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) คือรากฐานที่สำคัญที่สุดต่อความเป็นเอกภาพของมุสลิม และนี่คือภาระกิจขององค์การการ

ศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์) ที่จะนำรากฐานอันสำคัญสองประการนี้มาเพื่อสร้างเอกภาพในหมู่มุสลิมทั่วโลก”

ท่านได้กล่าวเน้นย้ำว่า “องค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์) ซึ่งรับหน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบสถาบันการศึกษาวิชาการศาสนาอิสลามด้านการค้นคว้าวิจัย ศึกษา และวัฒนธรรมของนักศึกษาวิชาการศาสนาต่างประเทศโดยเฉพาะ

ตะวนัตก‘หวัน่ใจ’ตอ่การตืน่ตวัของมสุลมิทัว่โลก

เมื่อเร็วๆ นี้ ฮุจญะตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ริฎอ อะอ์รอฟีย์ ได้ตอบคำถามแก่ผู้สื่อข่าวก่อนที่จะเข้าร่วมในรายการแข่งขัน โอลิมปิกพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและฮะดีษญามีอะตุลมุสตอฟา ระดับโลกครั้งที่ 14 ต่อคำถามที่ว่า “ต้นตอของการดูหมิ่นพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ของชาวตะวันตกที่มีบ่อยขึ้นนั้นคืออะไร?”

ท่านได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านได้ทำให้มุสลิมทั่วโลกตื่นตัวมากขึ้น ซิ่งเราได้เห็นกับตาแล้วจากเหตุการณ์ล่าสุดในเขตฉนวนกาซาประเทศปาเลสไตน์และในประเทศเลบานอน”

ท่านยังได้กล่าวอีกว่า “ศัตรูของอิสลามได้วางแผนการป้องกันไม่ให้มุสลิมตื่นตัวอย่างหนัก โดยการมุ่งทำลายไปที่รากฐานของอัลอิสลาม นั่นคือการเหยียดหยามพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)”

ท่านได้กล่าวอีกว่า “การสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องมุสลิมโดยการนำเรื่องความแตกต่างระหว่างมัซฮับเข้ามาในหมู่มุสลิมก็เป็นอีกหนึ่งวีธีการของศัตรูซึ่งอยู่ในแผนการเดียวกัน” ท่านได้กล่าวต่อว่า “โดย

ดังนั้นในทุกสาขาแขนงวิชาการของนักศึกษาทั้งหมดจึงอยู่บนพื้นฐานของอุลูมุลกุรอาน และการอรรถาธิบายของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานทั้งสิ้น และปัจจุบันนี้เรามีนักศึกษาวิชาการศาสนาจากต่างประเทศจำนวน 400 คนจากนานาประเทศ ที่กำลังศึกษาวิชาการสาขาแขนงนี้อยู่ในวิทยาลัยอิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ในเมืองกุม”

ท่านยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ตามสถิติที่เรามีตอนนี้ ซึ่งสร้างความปีติยินดีแก่เราเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากบรรดานักเรียนศาสนาต่างชาติที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันขององค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์) ได้ให้ความสนใจต่อพระมหาคัมภีร์กุรอานเป็นอย่างยิ่ง และองค์การการศึกษาอุลูมุลกุรอานและฮะดีษญามิอะตุลมุส ตอฟา กำลังมุ่งมั่นทำงานเพื่อส่งเสริมการศึกษาพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและฮะดีษในขณะนี้ ซึ่งเป็นเจ้าภาพการจัดแข่งขันโอลิมปิคพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานนานาชาติในครั้งนี้ก็ เป็นสิ่งยืนยันว่า องค์การนี้กำลังทำงานอย่างจริงจัง”

ท่านได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ที่นี้ว่า “ถึงแม้ว่าการทำงานอย่างหนักของทุกๆ องค์กรในการเผยแพร่และศึกษาอุลูมุลกุรอานที่มีในขณะนี้ ยังถือว่าน้อยมาก ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศและได้เห็นกับตาตัวเอง ตามมหาวทิยาลยัตา่งๆ ของอสิลาม เลยทำใหข้า้พเจา้ สามารถที่จะกล่าวได้ว่า ญามิอะตุลมุสตอฟา มีฮาฟิซและกอรีจำนวนมากเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในโลกนี้”

ดาวเทยีม‘ความหวงั’ของอหิรา่น กบัความวติกของกลุม่ชาตมิหาอำนาจตะวนัตก

ฮุจญะตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ริฎอ อะอ์รอฟีย์

ดาวเทียม “อุมีด” ความกว้างยาว 40cm * 40cm * น้ำหนักรวม 27 กิโลกรัม ความถี่ระบบ UHF

Page 7: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 �ต่างประเทศ

นั่นร่วมกับหน่วยรักษาความมั่นคงอีกส่วนหนึ่งจนทำให้ชีอะห์สองคนได้รับชะฮีด บาดเจ็บสาหัสสี่คน และเล็กน้อยอีกนับสิบ ในช่วงที่เกิดการปะทะกันนั้นบรรดาชีอะห์ได้ตะโกน คำขวัญ “ฮัยฮาตมินนัตซิลละห์” จนดังกึกก้องไปทั่ว การทำร้ายจากวะฮะบีย์จึงรุนแรงยิ่งขึ้นบวกกับได้มีพวกวะฮะบีย์ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ได้ขว้างหินและไม้เข้าใส่บรรดาชีอะห์อีกเช่นเดียวกัน

สำนักข่าว รอศิด ได้รายงานข่าวจากสตรีชีอะห์นางหนึ่ง นางได้กล่าวว่า “หน่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มดังกล่าวได้ทำร้ายทุบตีดิฉันและบุตรของฉันหน้ามัสญิดุนนะบี เลยทีเดียว และฉันได้เห็นกับตาของฉันเองเลยว่ามีเลือดไหลนองบนพื้นหน้าสุสานบะกีอ์เต็มไปหมด นางยังได้กล่าวต่ออีกว่า หน่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มนั้นได้ทำร้ายทุบตีบรรดาชีอะห์อย่างโหดร้ายที่สุด หลายคนล้มลงกับพื้น บ้างก็เป็นลมล้มฟุบลงไป จนทำให้ฉันหวนระลึกถึงบรรดาเด็กๆ ลูกหลานท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ.) และท่านหญิงซัยหนับ (ซ.) ที่กำลังถูกบรรดาทหารชั่วของยะซีดบุตร มุอาวิยะห์ ได้ทำร้ายและทุบตีในวันอาชูรอ

นางกล่าวต่ออีกว่า อีกด้านหนึ่งที่ฉันได้เห็นเด็กคนหนึ่งวิ่งหนีการทุบตีของวะฮาบีย์เหล่านั้นไปยังมัสญิดุนนบีเพื่อหลบจากการถูกทำร้าย ฉันได้หวนรำลึกถึงลูกๆ ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ที่ต้องวิ่งหนีจากการไล่ล่าของเหล่ามารร้ายในวันนั้นเช่นกัน ฉันเห็นแล้วถึงความป่าเถื่อนของเหล่าทหารชั่วของคนชั่วอย่างยะซีด บุตรมุอาวียะห์

ตามข้อมูลที่ได้รับมาพวกวะฮะบีย์ไม่หยุดทำความชั่วแค่นั้น พวกมันได้บุกไปทำลายบ้านและร้านค้าหลายๆ แห่งที่มีเจ้าของเป็นชีอะห์ในละแวกนั้น และได้บุกไปขว้างปาไม้และก้อนหินใส่บ้านเรือน รถยนต์ของบรรดาชีอะห์ในเขต อัลอะซียาต จนได้รับความเสียหายมาก บางสำนักข่าวได้รายงานว่า ในวันเกิดเหตุการณ์มีบรรดาชีอะห์มารวมตัวกันกว่า 2,000 คน รอบ ฮารอมท่านศาสดาและสุสานบะกีอ์

นาย มันศูร โฆษกรัฐบาลของซาอุดิอาราเบียได้ออกมาเปิดเผยกับนักข่าวของประเทศฝรั่งเศสว่า หลังจากเหตการณ์สงบลงได้มีการจับกุมชีอะห์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าคนและกำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวน

ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้คงไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่ามันเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเกิดเหตุการปะทะกันรุนแรงจนมีคนเสียชีวิตเหมือนครั้งนี้

สาเหตุใหญ่ที่สามารถนำมากล่าว ณ ตรงนี้ได้คงหนีไม่พ้นสาเหตุที่กษัตริย์อับดุลเลาะฮ์ แห่งซาอุดิอาราเบีย ปรับคณะรัฐมนตรี ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่รับผิดชอบงานในกระทรวงต่างๆ ทั้งในด้านการศึกษา ยุติธรรม ข่าวสาร และสาธารณสุข รวมทั้งแต่งตั้งประธานสภาที่ปรึกษาชูรอ และประธานธนาคารกลางคนใหม่ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้

สามารถที่จะสรุปได้ว่า กษัตริย์อับดุลเลาะฮ์ แห่งซาอุดิอาราเบีย เริ่มวางยุทธศาสตร์ใหม่ในรัฐบาลของเขาเนื่องจากเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจในกลุ่มวะฮาบีย์หัวรุนแรงนัก ด้วยเหตุนี้เองในช่วงการครองราชของเขาเราจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ไปสู่ทางที่ดีหลายประการทั้งในเรื่องของเศษฐกิจ สังคม การเมือง โดยเฉพาะล่าสุดเรื่องของสิทธิสตรี โดยการได้ทรงแต่งตั้งให้นาง นูร์ อัลฟาเยซ ให้เข้ามารับหน้าที่ เป็นรัฐมนตรีช่วยทางด้านการศึกษาของสตรีในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้ งล่าสุดการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นครั้งแรก

นับแต่กษัตริย์อับดุล เลาะฮ์ขึ้ นครองอำนาจในเดือนสิงหาคม 2005 หลังจากกษัตริย์ฟาฮัดสิ้นพระชนม์ ท่านทรงมองการณ์ไกล เพราะหากปล่อยให้กฎเกณฑ์ทางศาสนามีบทบาทมากอาจจะกลายเป็นดึงให้สังคมถดถอย หากเปิดใจกว้าง จะทำให้มุสลิมเป็นที่ยอมรับในสายตาชาวโลกมากขึ้นผลดีมีมากกว่าเสีย ซึ่งถือ

เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจไปทั่วโลก เพราะถือว่าเป็นครั้งแรก ที่พระองค์แต่งตั้งสตรีเข้ามารับตำแหน่งในสภารัฐมนตรีของประเทศนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การปรับตำแหน่งที่สำคัญนักแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทีเดียวสำหรับประเทศซาอุดิอารเบีย และเมื่อเทียบกับกษัตริย์คนก่อนหน้านี้ในราชวงศ์ซาอุ

และที่สำคัญไปกว่านั้นการปลด เชค ซอและห์ อัลฮัยดาน เจ้าของคำฟัตวาประกาศิตเหตุการณ์ฉนวนกาซาว่า “การเดินขบวนประท้วงคือ “สัญลักษณ์หนึ่งของการสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน” โดยให้ “เหตุผลพ่วงท้าย” ไว้ด้วยว่า “การประท้วง การเดินขบวนจะมีผลทำให้ “ลืมเลือนจากการรำลึกถึงอัลเลาะฮ์ ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไม่คาดฝันก็ได้” ออกจากตำแหน่ง

และมาระยะหลังนี้ท่านมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมีการพบปะหารือกับนักวิชาการชีอะห์มากขึ้นซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่เหล่าวะฮาบีย์อยู่เนืองนิจ การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดนี้เป็นการวางยุทธศาสตร์เพื่องผลักดันอำนาจเก่าที่ยึดเหนี่ยวอยู่กับความคิดเก่าๆ โดยเฉพาะบางสว่นของอลุามาอว์ะฮะบยีอ์อกไป และนำอลุามาอ์ สุนนี่ของแต่ละมัซฮับทั้งสี่มัซฮับอื่นๆ เข้ามาแทน

ด้วยเหตุนี้เองการกระทำอันป่าเถื่อนของวะฮาบีย์ที่มีต่อชีอะห์ในเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะสามารถวิเคราะห์ได้สองประเด็น ประเด็นแรกคือ เป็นการแสดงให้พวกวะฮาบีย์ได้เห็นว่ารัฐบาลใหม่นี้ก็ยังคงมีแนวความคิดเช่นเดิมต่อชีอะห์เหมือนเก่า เป็นการแสดงเอาใจวะฮาบีย์ ถึงแม้ว่ารัฐบาลใหม่นี้จะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหลายตำแหน่งของพวกวะฮาบีย์ออกไป ไม่ว่าจะเป็นการปลด เชค ซอและห์ อัลฮัยดานออกจากตำแหน่งผู้พิพากษาสูงสุด การปลดเชค อิบรอฮีม อัลฆัยษ์ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยพิทักษ์ความดีและห้ามปรามความชั่ว ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่วะฮาบีย์เป็นยิ่งนัก

หรืออีกประเด็น อาจจะเป็นการสำแดงความไม่พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงให้รัฐบาลใหม่ของกษัติรย์อับดุลเลาะฮ์ได้เห็นอย่างชัดเจน เป็นการกระทำเพื่อให้รัฐบาลเสียหน้าอย่างรุนแรง ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น และการนำอุลามาอ์สุนนะห์มัซฮับอื่นๆ เข้ามาอยู่ในสภาฟัตวา

ข่ า ว ล่ า สุ ด ร า ย ง า น ว่ า ท า ง รั ฐ บ า ลซาอุดิอาระเบียได้สร้างกำแพงสูงสองเมตร ปิดกั้นสุสานบะกีอ์ เพื่อไม่ให้ชีอะห์ได้ไป ซิยารัตสุสานบรรดาอิมามของพวกเขา

ในช่วงวันวะฟาตของท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ.) ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดหน้า ‘สุสานบะกีอ์’ สถานศักสิทธิ์ซึ่งเป็นสุสานของอิมามมะอ์ซูม (อ.) โดยเป็นการกระทำอันป่าเถื่อนของผู้ที่แอบอ้างว่าคือผู้พิทักอัลฮะรอมทั้งสอง จนเป็นเหตุให้พี่น้องผู้ศรัทธาที่อยู่ในแนวทางอะห์ลุลบัยต์ ได้รับชะฮีดสองคนและบาดเจ็บอีกนับสิบคน

เหตุการณ์ต่างๆ ทางการเมืองและสังคมในประเทศซาอุดิอาราเบียหลายๆ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มีมากจนน่าแปลกใจ เช่น ล่าสุดมีข่าวว่ากว่า 200 มัสยิดในซาอุดิอาระเบียกิบลัตไม่ถูกต้องทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กิบลัตแค่นั้นเอง

เมื่อหนังสือพิมพ์ในซาอุดิอาราเบีย ได้มีการตีพิมพ์รายชื่อมัสยิดกว่า 200 มัสยิดที่หันทิศทางผิด มาเป็นระยะเวลานานมากๆ เหตุเนื่องจากการกอ่สรา้งมสัยดิทีผ่ดิพลาด ซึง่อาจจะเปน็สญัญาณ บง่บอกใหเ้ปน็ทีท่ราบวา่ สถานการณ ์ทางสังคมและการเมืองของประเทศซาอุดิอาราเบยีกำลงัเขา้สูก่ารเปลีย่นแปลงครัง้ยิง่ใหญก่เ็ปน็ได ้

หรือเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการปลดโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งในด้านนักการเมืองและนักการศาสนารวดเดียวหลายตำแหน่งด้วยกัน

แต่เหตุการณ์ที่น่าสลดใจที่บรรดาผู้ได้ชื่อว่าเขาคือผู้พิทักษ์ความดีและห้ามปรามความชั่วได้ก่อขึ้น นั่นคือ การทำร้ายพี่น้องผู้ศรัทธาที่อยู่ในมัซฮับชีอะห์ในนครมะดีนะห์ หน้าสุสานท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) และสุสานบะกีอ์ในวันวะฟาตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) และท่านอิมามฮะซัน มุจญตะบา (อ.) จนได้รับชะฮีดสองคนและบาดเจ็บอีกร่วมสิบคน

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกปิดเงียบอย่างดีที่สุดจากทางการซาอุดิอาราเบีย แม้กระทั่งสื่อมวลชนของซาอุดิอาราเบียเอง

เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นจากกรณีพิพาทระหว่างหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ชื่อว่าหน่วยพิทักษ์ความดีห้ามปรามการกระทำชั่วของซาอุดิอาราเบีย กับบรรดาสตรีชีอะห์กลุ่มหนึ่งที่มาซิยารตัสสุานบะกอี ์

สำนักข่าวบีบีซีได้รายงานข่าวจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ผู้หนึ่งว่า การปะทะกันระหว่างบรรดาชีอะห์และหน่วยรักษาความปลอดภัยได้จุดประกายจากเหตุการณ์ข้างต้นนั่นเอง ซึ่งในวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นในขณะที่สตรีชีอะห์กลุ่มหนึ่งกำลังซิยารัตสุสานบะกีอ์อยู่นั้น หน่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มนี้ได้ทำการบันทึกวิดีโอเทป ซึ่งทำให้มีปากเสียงกันขึ้นระหว่างสตรีชีอะห์กลุ่มนั้น และวีดีโอดังกล่าวได้มีการแพร่ภาพออกไปซึ่งพร้อมกับมีการร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากสตรีนางหนึ่งในกลุ่มนั้นจึงสร้างความขุ่นเคืองแก่ชีอะห์ในประเทศซาอุดิอาราเบียทั่วประเทศในทันทีทันใด ชีอะห์ในประเทศซาอุดิอาราเบียจึงได้รวมตัวกันและเกิดเหตุการณ์ปะทะกันในที่สุด

เหตุการณ์โดยรวมที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้จากสำนักข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สำนักข่าวอัลมะนาร อัลอาลัม รอศิด และสถานีข่าววิทยุอาหรับหลายๆ ช่อง ก็คือ ในช่วงวันวะฟาตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) บรรดาชีอะห์ชาวซาอุดิอาราเบียจะเดินทางไปนครมะดีนะห์ เพื่อซิยารัตสุสานของท่านศาสดาและสุสานบะกีอ์ แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าวซึ่งส่วนมากเป็นวะฮาบีย์หัวรุนแรง มักจะห้ามปรามและขัดขวางบรรดาชีอะห์ไม่ให้เข้าไปซิยารัตพร้อมกับขับไล่ให้ออกห่างจากสุสานบะกีอ์ ซึ่งบรรดาชีอะห์ก็ไม่สนใจต่อการห้ามปรามนั้นอยู่แล้ว

และในที่สุดการบุกทำร้ายบรรดาชีอะห์ที่ไปร่วมชุมนุมโดยหน่วยรักษาความปลอดภัยที่

ชอีะหส์องคนไดร้บั“ชะฮดี” โดยนำ้มอืของวะฮาบยีห์นา้สสุาน“บะกอี”์

Page 8: Imamiyah Journal 02

� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 SPECIAL REPORT

รายงานพิเศษ

เมื่อวันที่ 23-31 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา สมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน ได้จัดสัมมนาวิชาการครั้งที่ 2 ที่โรงแรมเคปพันวา สปาแอนด์รีสอร์ท แหลมพันวา อ่าวมะขาม จ.ภูเก็ต โดยเชิญ อายะตุลเลาะฮ์ ญะวาด มัรวีย์ ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ แ ล ะ ส ม า ชิ ก ส ภ าคณาจารย์ศูนย์กลางการศึกษาวิชาการศาสนาอิ สลามแห่ ง เมื อ งกุมประเทศอิหร่าน และฮุจญะตุลอิสลามเชครอสฆู พิธีกรนักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ชื่อดังชาวอิหร่าน ร่วมถ่ายทอดวิชาการ ในการจัดสัมนาในครั้งนี้นั้นมีนักเรียนเก่าไทย-อิหร่านจากทุกจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมสัมมนาประมาณ 200 คน

ในวันเปิดงาน นายวิชัย ไพรสงบ ผวจ.ภูเก็ต ได้มอบหมายให้นายอภิชาต อินทรฤทธิ์ วัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย ส.ต.อ.โกมล ดุมลักษณ์ กกอ.จ.ภูเก็ต นายบัณฑิต ไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยกกอ.จ.ภูเก็ต นายมาโรจน์ ทองหย่น อิหม่ามมัสยิดบ้านป่าตอง ตลอดจนสมาชิกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นและอิหม่ามอีกจำนวนหนึ่งมาร่วมเป็นเกียรติต้อนรับ ฯพณฯ อายะตุลเลาะฮ์ญะวาด มัรวีย์ และร่วมในพิธีเปิดงาน

ส.ต.อ.โกมล ดุมลักษณ์ นายทะเบียนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า “ตนในนามคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดภูเก็ต ขอแสดงความยินดีที่สมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน ได้มาจัดประชุมสัมมนาที่นี่ นอกเหนือจากนี้

ทางคณะได้มาเยี่ยมเยียนมัสยิดต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สังคม วัฒนธรรม ให้ความรู้ในเรื่องศาสนา ร่วมบรรยายธรรมตามมัสยิดต่างๆ อีกด้วย”

ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี นายกสมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน และประธานสถาบันศึกษาวิชาการศาสนาอัล-มะห์ดีย์ กล่าวว่า “การสัมมนาครั้งนี้ เป็นการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนากระบวนการคิดทางวิชาการ ให้เข้าใจอิสลามที่ถูกต้องและสมบูรณ์มากขึ้น เพราะตอนนี้ได้มีแนวคิดบิดเบือนบางสำนัก นำปัญหามาสู่โลกอิสลาม เพราะอุดมการณ์และแนวคิดดังกล่าว คือการนำเสนออิสลามออกไปในรูปของความรุนแรง อย่างเช่น วิธีการของ อัล-กออิดะห์ ซึ่งนั่นมิใช่อุดมการณ์ที่แท้จริงของอิสลาม แม้ว่าการเริ่มต้นของขบวนการนี้ จะเริ่มด้วยการเปิดฉากสงครามกับพวกยะฮูดีย์นัสรอนีย์ก็ตาม แต่เมื่อเวลาได้ผ่านไป เรากลับพบว่าพวกเขากลับนำมาทำร้ายมุสลิมด้วยกันเอง แทนที่จะสร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม” และยังได้กล่าวอีกว่า

“การสัมมนาครั้งนี้จะเป็นการเสริมความรู้วิชาการอิสลาม ในการอ้าง ตอบโต้ ตีความ ตามหลักวิชาการของศาสนาอิสลาม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ไปชี้แจงให้กับพี่น้องสุนนะห์ ซึ่งในตอนนี้ มีนักปราชญ์มุสลิมชั้นนำหลายคนที่มีสายสัมพันธ์ทางสำนักคิดแบบวะฮาบีย์ ได้หันกลับออกมาจากแนวคิดนี้ และมายืนหยัดตามแนวคิด

ของอิสลามแบบดั้งเดิมกันมากขึ้น” ซัยยิดสุไลมาน กล่าวต่ออีกว่า

“นี่คือเป้าหมายของเรา เพราะว่าโลกปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน หันหน้าเข้าหากัน เอกภาพเป็นเรื่องที่สำคัญทีส่ดุ ชยัชนะของพีน่อ้งมสุลมิปาเลสไตน ์ในกาซาครั้งที่ผ่านมาเป็นชัยชนะที่เกิดมาจากความเป็นเอกภาพของมุสลิมทั้งโลก การเดินขบวนที่แพร่ขยายไปทั่ วทั้ ง โลกโดยไม่ เคยมีในประวัติ - ศาสตร์ ยกเว้นเฉพาะผู้รู้วะฮาบีย์ที่ออกฟัตวาห้ามเดินประท้วงด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา จนอิสราเอลต้องยุติการโจมตีพี่น้องมุสลิมของเราในกาซา เพราะถ้ายังขืนทำสงครามต่อก็จะเสียกระบวนไปทั้งโลก

การโจมตีกาซาของอิสราเอลในครั้งที่ผ่านมานี้ ทำให้ความเป็นปึกแผ่นของมุสลิม เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วก็ เ ริ่ มมีการ เปิดฉากสงครามทางวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดมีความแตกแยกในคาบสมุทรอาหรับ มีการแบ่งแยกระหว่างอาหรับกับไม่ ใช่อาหรับ ซึ่งในการประชุมที่โดฮา หรือการประชุมที่อียิปต์ มีการประกาศว่า “ปัญหาของชาวปาเลสไตน์เป็นปัญหา

ของชาวอาหรับ” คำพูดคำนี้ เป้าหมายหลักก็ เพื่ อต้องการที่ จะลดบทบาทของอิหร่านซึ่งไม่ใช่อาหรับ เมื่อก่อนศัตรูของมุสลิมนำการแบ่งแยกในเรื่องของนิกายมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นศัตรูในหมู่ชาวมุสลิมด้วยกัน แต่ปัจจุบันศัตรูของอิสลามได้นำความเป็นชาติพันธุ์ เผ่าพันธุ์มาแบ่งแยกความเป็นปึกแผ่นของประชาชาติอิสลาม”

“การล่มสลายลงของอาณาจักรอุสมานียะห์ เป็นการล่มสลายลงจากการที่อังกฤษได้ปลุกระดมชาวอาหรับให้แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ระหว่างเติร์กกับอาหรับ ชาวอาหรับจึงรับอาวุธจากอังกฤษเพื่อบ่อนทำลายอาณาจักรอุสมานียะห์หรืออ๊อตโตมานจนล่มสลาย ตอนนี้พวกนัสรอนีย์ ยาฮูดีย์ และบรรดาจักรวรรดินิยมตะวันตกได้ร่วมมือกันอีกครั้งหนึ่งเบื่อบ่อนทำลายอิสลามและประชาชาติมุสลิม ผ่านขบวนการที่เป็นเครื่องมือของพวกเขาโดยไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวดี เราจึงต้องบอกกล่าวกับพี่น้องมุสลิมของเราว่าอย่าหลงกลแผนการร้ายของเหล่าศัตรู” ซัยยิดสุไลมานกล่าว และว่า

“ ก า ร ที่ จ ะ ส ร้ า ง ค ว า ม เ ป็ น

เอกภาพความเป็นปึกแผ่นในหมู่มุสลิม เราก็ต้องมองข้ามปัญหาต่างๆ ในเรื่องฟิกฮ์ หรือข้อปฏิบัติข้อปลีกย่อยที่เล็กๆ น้อยของเราออกไป เช่นเรื่ องการละหมาดกอดอกหรือไม่กอดอก เรื่องนี้มันไม่สำคัญ เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้”

ด้าน เชคซัยนุลอาบีดีน ฟินดี้ อุปนายกคนที่หนึ่ง กล่าวว่า “การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นการจัดครั้งที่ 2 เป้าหมายที่เด่นชัดของเราในการสัมมนาครั้งนี้ ก็คือการรักษาเอกภาพในหมู่มุสลิม เพราะฉะนั้นทุกย่างก้าวของเราที่ จะออกมาเราก็ต้ องระมัดระวั งประเดน็นัน้ ในวนันีส้ิง่ทีศ่ตัรขูองอสิลาม อยากจะเห็นมากที่สุดก็คือ “ความแตกแยกกันในระหว่างชาวมุสลิม” ไม่ว่าในระดับชุมชนหมู่บ้าน ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ความแตกแยกระหว่างประเทศ หรือความแตกแยกระดับโลก สิ่งนี้คือความต้องการสูงสุดของศัตรูอิสลาม

เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายของสมาคมฯ กค็อืความสามคัคสีมานฉนัท ์ระหว่างมุสลิม จะไม่สร้างความแตกแยกเป็นลำดับที่หนึ่ง อย่างที่สองจะต้องขจัดความแตกแยกให้ได้ ซึ่งถ้า

สมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน ได้จัดสัมมนาเสริมความรู้และเพิ่มพูนวิชาการอิสลาม เชิญอะยาตุลเลาะฮ์ และ พิธีกรวิทยุและโทรทัศน์ชื่อดังจากอิหร่าน ร่วมถ่ายทอดวิชาการ นักเรียนศาสนาเข้าร่วมกว่า 200 คน

พฒันากระบวนการคดิทางวชิาการ-สรา้ง‘เอกภาพ’ในหมูม่สุลมิ ยทุธศาสตร‘์เชงิรกุ’ของ‘สมาคมนกัเรยีนเกา่ไทย-อหิรา่น’

Page 9: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 9

ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี เชคซัยนุลอาบิดีน ฟินดี้ เชคกอซิม อัสการีย์ ฮุจญะตุลอิสลาม เชค มะฮ์ดี อะมีรี อายะตุลเลาะฮ์ ญะวาด มัรวีย์

รายงานพิเศษ

เราสามารถทำทั้งสองอย่างได้ เราแ ท บ จ ะ ไ ม่ ต้ อ ง ท ำ อ ะ ไ ร ศั ต รู ข อ งอิสลามก็จะต้องพ่ายแพ้ไปเอง และอีกประการเพื่อรวบรวมเพื่อนพ้องน้องพี่นักเรียนศาสนารุ่นแรกถึงรุ่นนี้ระยะห่างสักประมาณ 20 ปีเห็นจะได้”

สว่น เชคกอซมิ อสัการยี ์เลขาธกิาร สมาคมฯ และประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษากุรอานอัลรอซูลลุลอะอฺซอม (ศ.) กล่าวว่า “ทางสมาคมฯ ได้จัดการสัมมนาครั้งนี้ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนศาสนาที่ไปศึกษาที่ประเทศอิหร่าน ที่ห่างเหินวิชาการแขนงใหม่ได้กลับเข้ามาสู่สนามแห่งวิชาการ ได้เพิ่มพูนความรู้ทักษะ ความคิด ตลอดจนการค้นคว้าวิชาการให้ทันยุคทันสมัย และเพื่อพัฒนาให้มีความพร้อมในการชี้นำพี่น้องมุสลิมด้านวิชาการ จึงเปิดการอบรมในด้านจริยธรรมควบคู่ ไปกับวิทยาการทางความรู้ ประเด็นทั้งหมดที่มีอยู่นี้ถือว่าเป็นการกลับสู่บรรยากาศของการเป็นนักศึกษาศาสนาอีกครั้ง หลังจากที่ได้กระจัดกระจายกันไปในหลายจังหวัดของประเทศไทย” และว่า

“วันนี้ เราได้มีโอกาสกลับมารวมตัวกันเพื่อวางนโยบายในการทำงาน นโยบายในการที่จะชี้นำพี่น้องของเราให้รู้จักกับอิสลามที่แท้จริง

ขึ้นในมวลมุสลิมประเทศไทยได้” ทั้ งนี้ทางคณะผู้สัมมนาได้มี

โอกาสไปร่วมละหมาดญุมอะห์ที่มัสยิดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ภายหลังจากเสร็จสิ้นการละหมาด ทางคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดได้เชิญ อายะตุลเลาะฮ์ ญะวาด มัรวีย์ กล่าวปราศรัยหลังจากการละหมาด โดยอายาตุลเลาะฮ์ มัรวีย์ กล่าวว่า

“รู้สึกชื่นชมยินดีกับชาวภูเก็ตเมื่อท่านได้เห็นความเข้มแข็งของพี่น้องมุสลิมและอิสลามในจังหวัดภูเก็ต เพราะจากข่าวที่ท่านได้รับรู้รับฟังเกี่ยวกับจังหวัดภูเก็ต ก็คือความเสื่อมโทรมทางด้านวัฒนธรรม แต่หลังจากที่ท่านได้มาพบเห็นแล้ว กลับพบว่าที่นี่ยังมีพี่นอ้งมสุลมิทีย่งัเครง่ครดัในเรือ่งศาสนา มีมุสลิมะห์ที่ยังคลุมฮิญาบ เจอพี่น้องมุสลิมที่ยังเคร่งครัดในเรื่องละหมาดเมื่อถึงเวลาละหมาด ภูมิใจที่มาเห็นวัฒนธรรมที่จะรักษาเอกลักษณ์ของอิสลามเอาไว้ถึงแม้ว่าจะมีการนำวัฒนธรรมตะวันตกโดยผ่านการท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่ แต่ก็ไม่สามารถทำลายความศรัทธาที่มั่นคงของพี่น้องที่นี่ได้ ในมัสยิดก็มีคนละหมาดวันศุกร์จนเต็ม และมีคนหนุ่มสาวที่ยังธำรงไว้ซึ่งหลักการของศาสนา ขอให้พี่น้องได้ยืนหยัดในสิ่งเหล่านี้ไว้ตลอดไป”

บรรยากาศใน ‘ค่ายยุวชนกุรอานสัมพันธ์ครั้งที่ 2’ ซ่ึงจัดโดย มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาอัลกุรอาน อัรรอซูลุลอะอ์ซอม (ศ็อลฯ) ระหว่างวันที่ 10-15 เมษายนที่ผ่านมา ณ คา่ยรมิขอบฟา้ เมอืงโบราณ ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

พร้อมกับกล่าวต่ออีกว่า “สิ่งที่เราจะต้องพึงระวังในตอนนี้ก็คือ ศัตรูของอิสลามต้องการที่จะแบ่งแยกระหว่างชีอะห์กับสุนนี่ พยายามที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างเรา ทั้งที่ความแตกต่างของชีอะห์กับสุนนี่ก็เหมือนกับความแตกต่างของฮานาฟีย์กับฮัมบาลีย์ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องของการละหมาด วิธีการละหมาด ในมัษฮับสุนนี่ สำนักคิดมาลิกีย์เขาก็ไม่กอดอก แต่ชาฟีอีย์เขาก็กอดอก ” และกล่าวว่า

“เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ควรที่จะมองหรือเก็บนำมาคิดให้ เป็นประเด็นปัญหา ชีอะห์กับซุนนีก็เหมือน

กันแตกต่างกันแค่ เ รื่ องปลีกย่อยเท่านั้น เรามีอัลเลาะฮ์ (ซ.บ)เป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน มีศาสดามุฮัมมัด(ศ.)เป็นศาสนทูตท่านเดียวกัน มีพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอานเล่มเดียวกัน มีกิบลัตเป็นทิศทางเดียวกัน ถือศีลอดในเดือนรอมฏอน 30 วันเท่ากัน ละหมาด 5 เวลาเหมือนกัน เรื่องที่เป็นหลักๆ เราเหมือนกัน เชื่อในเรื่องมะลาอิกะห์ เชื่อในเรื่องรอซูลเหมือนกัน”

“ปัญหาปลีกย่อยไม่ควรนำมาเป็นอุปสรรคของความเป็นปึกแผ่นหรอืความสมานฉนัทใ์นหมูพ่ีน่อ้งมสุลมิ หรอืประชาชาตอิสิลาม” อายะตลุเลาะฮ ์ญะวาด มัรวีย์ กล่าวในที่สุด

ถือว่าเป็นการผูกสัมพันธ์หรือสร้างมิตรภาพให้กระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในหมู่นักศึกษาศาสนา”

“เราจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของอิสลาม วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะนำเสนออิสลามให้กับโลกได้ ซึ่งเราไม่ได้มองเหมือนกับคนอื่นว่าเราถูกต่อต้านอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสที่ฮิิซบุลเลาะห์ได้รับชัยชนะ นั่นคือโอกาสที่เราจะนำเสนออิสลามให้กับสังคมโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเป็นคนไทยเราก็มีความสามารถที่จะทำงานด้วยการนำเสนอให้กับพี่น้องมุสลิมในเมืองไทย” เชคกอซิมกล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ ฮุจญะตุลอิสลาม เชค มะฮ์ดี อะมีรี ตัวแทนองค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติญามิอะตุลมุศตอฟาประจำประเทศไทย ที่ได้เข้าร่วมในการสัมมนาครั้งนี้ ได้กล่าวว่า “มุสลิมทุกคนทั่วโลกชื่อว่าสาส์นที่สูงส่งที่สุดในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคือ การสร้างสันติภาพและมิตรภาพแก่ประชาคมโลก ดังนั้นการจัดสัมมนาในครั้งนี้เป้าหมายคือการสรา้งความเปน็เอกภาพความสมานฉนัท ์ในหมู่พี่ น้ องมุสลิมไม่ว่ าจะอยู่ ในมัซฮับใดผูเข้าร่วมสัมนาจะกลับไปสร้างความสมานฉันท์ระหว่างมัซฮับ

ฮุจญะตุลอิสลาม เชค รอซฆู

Page 10: Imamiyah Journal 02

�0 ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 OPINION&ANALYSIS

ทัศนะ-บทความ

สรปุคำปราศรยัของ ‘อะหม์าด ีเนญาด’ ประธานาธบิดแีหง่สาธารณรฐัอสิลามแหง่อหิรา่น ในทีป่ระชมุสมชัชาใหญส่หประชาชาต ิ(UN) ทีก่รงุเจนวีา สวสิเซอรแ์ลนด ์เมือ่ 20 เมษายน 2552

มนุษยชาติต้องทนแบกรับความอธรรมอย่างมากมายตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา แม้ในยุคกลาง ที่ได้มีความพยายามออกกฎหมายเข่นฆ่าบรรดานักปราชญ์ นักคิด หลังจากนั้น ก็เป็นยุคที่ใช้ทาส กดขี่ทาส กวาดต้อนผู้บริสุทธิ์ แยกพวกเขาออกจากครอบครัว แล้วย้ายไปอยู่ที่ยุโรป อเมริกา ยุคนั้นนับว่า เป็นยุคมืด เป็นยุคสมัยการเข้ายึดครองดินแดน เข่นฆ่า และอพยพคนบริสุทธิ์

ในช่วงเวลาสั้นๆ จักรวรรดินิยมได้ก่อสงครามใหญ่ขึ้นสองครั้งให้กับยุโรปและเอเซีย แอฟริกาบางส่วน ก่อให้เกิดการเข่นฆ่าคนจำนวนหลายล้าน บวกกับการนองเลือดในประเทศต่างๆ ผู้ชนะสงครามถือว่าพวกเขาเป็นผู้มอบเสรีภาพให้แก่ชาวโลกและประชาคมอื่นๆ ที่ถูกบดขยี้ในสงคราม พวกเขาได้ออกกฎหมายที่อธรรม ไมร่บัรูใ้นสทิธมินษุยชน และเบยีดเบยีนทำลาย

ประธานาธิบดีอิหร่านได้ตำหนิสิทธิของการวีโต้ ในที่ประชุมสหประชาชาติซึ่งอำนวยประโยชน์ให้กับบางชาติ และสหประชาชาติคือผลผลิตของสงครามโลกทั้งสองครั้ง

ท่านได้ถามว่า กฏแห่งการวีโต้มันสอดคล้องกับสิทธิของมนุษยชาติและของพระผู้เป็นเจ้าในข้อใด? ความยุติธรรม ความเสมอภาค และการลดคุณค่าของมนุษย์ให้ต่ำต้อยลง คืออะไร ในกฎระเบียบข้อนี้?

เชื่อกันว่า ที่ประชุมแห่งนี้ เป็นที่ประชุมที่สูงสุดเป็นเสาหลักในการนำเอาความสันติ ความปลอดภัยมาสู่โลกแต่ในขณะที่มีการพิจารณากฎระเบียบใดๆ ตราระเบียบกฎหมายซึ่งไม่ใช่สิทธิอันชอบธรรมถูกนำมาใช้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะสถาปนาสนัตภิาพและความปลอดภยัขึน้ในโลกนี้ไดอ้ยา่งไร?

การแสวงหาอำนาจ การบูชาเจว็ด คือที่มาของลัทธิชาตินิยม การแบ่งแยกสีผิว การรุกราน และการกดขี่ต่างๆ

แต่เราจะเห็นได้ว่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลายและชนชั้นผู้มีผลประโยชน์ส่วนตนในชาตินั้นๆต่างฉกฉวยเอาเปรียบชนชาติอื่นๆ พวกเขาสามารถทำไดง้า่ยเหลอืเกนิกบัการทำลายกฎหมาย ทั้งหมดและทำลายคุณค่าทั้งหมดของมนุษยชาติ

อีกตอนหนึ่ง ท่านประธานาธิยดีได้ชี้แจงว่า สงครามโลกครั้งที่สองและเรื่องราวที่ติดตามมาเช่นการขจัดพวกยิว การยึดครองแบบเผาผลาญ ต่อมาก็คือ การเป็นศัตรูและนำทหารเข้าไป พวกเขาได้อพยพประชาชนและนำบางส่วนไปไว้ที่ยุโรปบ้าง ที่อเมริกาบ้าง และนำไปไว้ที่ประเทศต่างๆ และย้ายพวกยิวเหล่านั้นไปยังดินแดนต่างๆ ที่ยึดครอง

ท่านได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในความเป็นจริง พวกยิวเหล่านั้น จะต่อต้านความรู้สึกคลั่งไคล้ชาติพันธุ์ของชนชาติอื่นในยุโรป แต่กลับปฏิบัติต่อประชาชนส่วนมากในแง่ของการคลั่งไคล้เสียเองในดินแดนอื่น เช่นในปาเลสไตน์

ที่ประชุมสหประชาชาติ เอื้อประโยชน์ให้รัฐบาลทุจริตนี้ (ยิวไซออนนิสต์)และสนับสนุนเป็นเวลาหกสิบปีมาแล้วนับตั้งแต่อดีต และเปิดโอกาสให้บรรดาผู้ฉ้อฉลเหล่านั้นก่ออาชญากรรมอยู่เสมอมา

ที่ร้ายกว่านี้ก็คือ บางประเทศในโลกตะวันตกและอ เมริ กา เล็ ง เห็ นว่ าจำ เป็นจะต้ องสนับสนุนพวกคลั่งในชาติพันธุ์ ในขณะที่ต้องยึดครองและรังแกข่มเหงมนุษย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้ายต่อพลเมืองที่ฉนวนกาซา พวกเขา

สนับสนุนอาชญากร และไม่ใยดีกับเด็กผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของพวกไซออนนิสต์ หากแต่ยังให้การช่วยเหลือ ส่งเสริมเป็นส่วนมากด้วยซ้ำไป

ประธานาธิบดีอะห์มาดี เนญาด แห่งอิหร่านได้ตั้งคำถามว่า มีเป้าหมายอะไรจากการทำสงครามครั้งล่าสุด เช่น สงครามที่อเมริกาทำกับอิรัค และการโจมตีอัฟกานิสถาน? หรือว่า ยังมีสาเหตุอื่นนอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวของรัฐบาลอเมริกาและความหื่นกระหายของพวกคลั่งในอำนาจ ผู้แสวงหาผลประโยชน์ แผ่อิทธิพลของตน โดยกำลังอาวุธและบ่อนทำลายวัฒนธรรมอันสูงส่ง ซึ่งมีประวัติศาสตร์มานานนับพันๆปี หรือนอกเหนือจากการเป็นฐานอิทธิพลให้แก่พวกยิวไซออนนิสต์ และทำลายพลังของประชาชนชาวอิรัค????

ท่านได้ตั้งคำถามอีกว่า ทำไมจึงมีคนถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายล้านคน และอีกหลายล้านคนต้องอพยพถิ่นฐาน? ทำไมประชาชนชาวอิรัคจึงต้องประสบกับความสูญเสีย จำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์? และทำไมประชาชนชาวอเมริกาและสมุนบริวาร ต้องเสียค่าใช้จา่ยจำนวนหลายรอ้ยลา้นในการเคลือ่นกำลงัทหาร ?

ท่านกล่าวอีกว่า พวกยิวไซออนนิสต์และสมุนผู้ครอบครองผลประโยชน์ในสหรัฐอเมริกาใช่ไหมที่วางแผนให้อเมริกาทำสงครามกับอิรัค ? ชาวอฟักานสิถานเลา่ พวกเขาไดร้บัความสนัตสิขุ ความปลอดภัย และประชาชนมคีวามสขุสบายดีกระนัน้หรอืหลงัจากพวกทา่นเขา้ไปยดึครอง ?

ประธานาธิบดีอิหร่านกล่าวว่า อเมริกาและสมุนไร้ประสิทธิภาพเกินไปต่อการกำจัดการผลิตยาเสพติด แต่ทว่าในช่วงที่อเมริกาและพันธมิตรเข้ายึดครอง การผลิตยาเสพติดมากขึ้นหลายเท่านัก

ท่านได้กล่าวเสริมต่อไปว่า คำถามขั้นพื้นฐานก็คือ อะไรคือบทบาทของสหรัฐอเมริกาและสมุนของตน? พวกเขามีฐานะเดียวกันเหมือนกันกับประชาคมโลกมิใช่หรือ? หรือว่า เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลจากประชาชน? หรือว่าพวกเขาได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนทั้งโลก เพื่อเข้าไปจัดการกับกิจการต่างๆของโลก

โดยเฉพาะในดินแดนของเรา ? ท่านได้กล่าวว่า การดำเนินบทบาทต่างๆ

ที่ได้กระทำไปแล้ว ทั้งในอิรัคและอัฟกานิสถาน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนมิใช่หรือว่า เป็นความเห็นแก่ตัว ความคลั่งไคล้ชาติพันธุ์ และการเหยียดผวิ ทำลายศกัดิศ์ร ีและเกยีรตยิศของประชาชน ?

อีกด้านหนึ่ งจากคำปราศรัยของท่าน ประธานาธิบดีได้ตั้งคำถามว่า ใครคือต้นเหตุของวิกฤตการณ์ในโลกนี้? วิกฤตการณ์ได้เริ่มต้นมาจากไหน? จากอัฟริกา หรือว่าจากเอเซีย หรือว่า ทั้งหมดนั้นมาจาก อเมริกา ตามด้วยยุโรป และสมุนบริวารของมัน

ประธานาธิบดีกล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แน่นอนยิ่งพวกเขาได้ตรากฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจของพวกเขาและกำหนดมาตรการทางการเมืองด้านต่างๆขึ้นมา เพื่อผูกพันกับเศรษฐกิจ และกำหนดนโยบายทางการเงินของพวกเขา โดยไม่ให้เกียรติ หรือคำนึงถึงรัฐบาลและประชาชนในประเทศต่างๆ ไม่ยอมให้มีบทบาทหน้าที่ใดๆ

ท่านได้แถลงต่อไปว่า พวกเขาไม่ยอมแม้ให้ประชาชนของพวกเขาเองแสดงความคิดเห็นด้วย ตามหลักจริยธรรมด้านข้อผูกพันทางเศรษฐกิจ ซึ่งกฎหมายทั้งหมดนั้นได้เอื้อประโยชน์ให้กับบรรดานักปกครองและคนร่ำรวยเท่านั้น แท้จริงแล้ว ตลอดเวลาที่พวกเขาแนะนำโดยเฉพาะประชาชนของตนเองให้เป็นที่รู้จัก สำหรับตลาดแห่งเสรีภาพ และปรัชญาการอภิปรายถกเถียง พวกเขากลับฉวยโอกาสลิดรอนสิทธิของประชาชนส่วนมาก ราวกับว่าพวกเขาลากจูงปัญหาของตนเอง ไปหาคนประเทศอื่น

ผลสะท้อนของวิกฤตการณ์ ได้ย้อนรอยกลับไปหาพวกเขาแล้วที่ต้องแบกรับความเสียหายจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ อันมาจากหนี้สิน และความพยายามที่ได้ทุ่มเทลงไปเพื่อช่วยเหลือบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในตลาดการเงิน แล้วกล่าวว่า พวกเขาคำนึงถึงความอยู่รอดบนกำลังทรัพย์สินของพวกเขาและประชาชนทั้งโลก และกระทั่งว่าประชาชนของพวกเขาเอง ก็ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย

อีกตอนหนึ่ง จากคำปราศรัยที่ได้สร้าง

ความประทับใจผู้ฟัง ประธานาธิบดี ได้กล่าวว่า รากเหง้าของลัทธิคลั่งชาติพันธุ์ เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดในเรื่องความเป็นจริงของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐ และเกิดจากการบิดเบือนเป้าหมายที่ถูกต้องของการใช้ชีวิตในหมู่มนุษยชาติ และและภาระหน้าที่ต่างๆนับแต่ถูกสร้างมา

ประธานาธบิดอีะหม์ะดยี ์เนญาด ใหท้ศันะ ว่า ความคลั่งไคล้ชาติพันธุ์มีที่มาจากความโง่เขลาที่คุกคามวิถีชีวิตอันสงบสุขของมวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ แนวทางที่ถูกต้อง ก็คือ การต่อต้านในลักษณะที่เท่าเทียมกัน นั่นคือ การกำหนดให้การแสดงความเห็นที่เท่าเทียมกันอย่างเสมอภาค และยอมรับปรัชญาแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และย้อนกลับไปหาจริยธรรมอันมีค่าและมีเกียรติของมนุษย์ และการเป็นบ่าวของพระเจ้า เป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

ประธานาธิบดีได้เน้นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพยายามขัดขวางนโยบายการเมืองที่แสวงหาผลประโยชน์ ระหว่างประเทศของขบวนการยิวไซออนนิสต์ ท่านได้เสริมว่า เป็นหน้าที่ของประชาคมโลก และขบวนการต่อสู้ทั้งหลาย ที่จะต้องลุกขึ้นยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อทำลายปรากฏการณ์อันเลวร้ายนี้เสียให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

สังคมมนุษยชาติวันนี้กำลังเผชิญหน้ากับการคลั่งไคล้ชาติพันธุ์ชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อเกียรติยศของมนุษย์และสร้างความอับอายให้แก่ประเทศต่างๆ

ทา่นไดก้ลา่วอกีวา่ แนน่อนพวกยวิไซออนสิต ์ทั่วโลก คือ ตัวการที่สร้างลัทธิคลั่งไคล้ชาติพันธุ์ ขบวนการไซออนนิสต์นั้น อาศัยความตระบัดสัตย์ต่อศาสนา ด้วยความโกหก พยายามที่จะยึดครองจิตใจของประชาชนที่โง่เขลา เพื่อปกปิดโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของตนไว้

จำเป็นที่เราต้องหันมาให้ความสนใจกับความเพียรพยายามของชาติมหาอำนาจและพวกที่มั่งคั่งทางการเงิน ที่ได้ทุ่มเทลงไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมือง และเพิ่มขีดความสามารถในการโฆษณาอย่างกว้างขวาง ที่พวกตนถือครองอยู่ และเพื่อช่วยพวกเขาในการตบแต่งรูปลักษณ์อันเลวร้ายของพวกไซออนนิสต์ให้ดูดีขึ้น

ท่านกล่าวอีกว่า เป็นไปไม่ได้ ที่การต่อต้านกับขบวนการนี้ จะอาศัยปฏิบัติการทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว แม้กระทั่งการให้เกียรติของประชาชน เป็นหน้าที่สำหรับรัฐบาลทั้งหลายที่จะต้องขจัดขบวนการคลั่งชาติพันธุ์อันชัดเนนี้ และยืนหยัดอย่างกล้าหาญเพื่อแก้ไขปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ท่านได้ชี้ต่อไปถึงความเพียรพยายามอย่างกว้างขวางที่ชาติมหาอำนาจได้ทุ่มเทเพื่อบิดเบือนมติที่ประชุม เกี่ยวกับจดหมายที่แท้จริงของท่าน เป็นที่น่าเสียใจว่า ในปัจจุบันนี้การสนับสนุนที่โดดเด่นต่อขบวนการไซออนนิสต์อันหมายถึงความร่วมมือในการก่ออาชญากรรม คือชาติผู้นำบางประเทศในภูมิภาคนี้

ภารกิจนี้ ทำให้ความรับผิดชอบของตัวแทนประชาชนในการยืนขึ้นต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกับขบวนการไซออนิสต์ ตามกระแสที่เป็นธรรมชาติของมนุษยชาตินั้น ต้องมีเพิ่มมากขึ้น แทนการประนีประนอมด้านความสัมพันธ์ทางการทูต และเศรษฐกิจ

ท่านได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สมควรที่เราจะต้องรู้ว่า การที่พลังอันยิ่งใหญ่ของโลกห่างออกจากการมสีว่นรว่มในทีป่ระชมุนี ้หมายถงึ คำตอบ ที่ชัดเจนว่า ความช่วยเหลือ สนับสนุนลัทธิคลั่งไคลใ้นชาตพินัธุแ์ละการหลัง่เลอืด ยงัคงมอียูต่อ่ไป

ในปัจจุบันนี้ ความจำเป็นอันดับแรกที่จะต้องทำเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน คือ เราต้องสนับสนุนสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนให้มีเสรีภาพ ในการนำเอามติที่สำคัญเกี่ยวกับโลกให้

Page 11: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ��

การกระทำและพฤติกรรมต่างๆ ของคนเราเมื่อพิจารณาในด้านความสวยงาม และความน่าเกลียดของมันย่อมไม่เท่าเทียมกัน ความสวยงามและความน่าเกลียดดังกล่าวมันได้ถูกกำหนดไว้ในตัวของสิง่ตา่งๆ พรอ้มกบัการกระทำทัง้หลาย

ตัวอย่างเช่น “การจงรักภักดี” (ฎออะฮ์) ต่ออัลเลาะฮ์ โดยตัวของมันคือความดีงามและเป็นสิ่งที่สวยงาม ส่วน “การละเมิดฝ่าฝืน” (มะอ์ซิยะฮ์) ต่ออัลเลาะฮ์ โดยธรรมชาติของมันก็คือสิ่งที่น่าเกลียด หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง “ความยุติธรรม” (อะดาละฮ์) โดยตัวของมันคือสิ่งสวยงาม ในทางตรงกันข้าม “ความอธรรม” (ซุลม์) โดยธรรมชาติแล้วมันคือสิ่งที่น่าเกลียด ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดมากำหนดหรือบอกกล่าว

มีคนบางกลุ่มพยายามที่จะปฏิเสธความหมายข้างต้น และพวกเขาพยายามที่จะกล่าวว่าความดีงามและความเลวร้ายหรือความน่าเกลียดของทุกๆ สิ่ง และการกระทำต่างๆ ของมนุษย์ สามารถรับรู้ได้โดยผ่านข้อบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเพียงเท่านั้น พวกเขากล่าวว่า “ความยุติธรรม” (อะดาละฮ์) ที่เรายอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ดีงามได้นั้น เพราะอัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงตรสัวา่ มนัเปน็สิง่ดงีาม และ “ความอธรรม” (ซุลม์) ที่เรายอมรับว่ามันเป็นสิ่งน่ารังเกียจก็เป็นเพราะอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงบัญญัติห้าม มิเช่นนั้นแล้วสติปัญญาของมนุษย์เราไม่อาจรับรู้ได้ ทัศนะเช่นนี้ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงในมุมมองของเราชาวชีอะฮ์ อิษนาอะชะรียะฮ์

ยิ่งไปกว่านั้น ระดับของความสวยงามและความน่าเกลียด ความมากและความน้อยของมันก็สามารถรับรู้และค้นหาได้ในตัวของสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเช่นกัน “ความดี” “ดีกว่า” หรือ “ดีที่สุด” และ “ความเลว” “เลวกว่า” หรือ “เลวที่สุด” เราก็สามารถตัดสินได้บนพื้นฐานดังกล่าว นั่นคือสติปัญญาของมนุษย์คือตัวตัดสิน

อย่าดูถูกความดีงามที่เล็กน้อย

ความดีงามทั้งมวล แม้ว่าบางสิ่งจากมันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมากมายด้วยคุณค่า ดังเช่นที่ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะล ีอบินอิบฏีอลบิ (อ.) ได้ชี้ให้เห็นในคำสอนอันทรงคุณค่าของท่านว่า “จงทำความดี และจงอย่าดูถูกดูแคลนสิ่งใจจากมัน เพราะแท้จริงแล้วความดีนั้นไม่ว่าจะมีขนาดเล็กและมีปริมาณน้อยสักเพียงใดก็ตาม มันคือสิ่งที่มากมาย (ด้วยคุณค่า) และผู้กระทำมันคือผู้ที่ได้รับความรัก (จากพระผู้เป็นเจ้า)”

แต่กระนั้นก็ตาม ในมุมมองของอิสลามและในหลักคำสอนของคัมภีร์อัล กุรอาน ได้แบ่งระดับความดีงาม ความสวยงาม และความประเสริฐของการกระทำ (อะมั้ล) ทั้งหลายไว้ บ่าวของอัลเลาะฮ์ (ซบ.) คนใดที่มุ่งแสวงหาและปฏิบัติในสิ่ งที่ดีงามกว่าและสวยงามกว่า เขาก็จะได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลเลาะฮ์ (ซบ.) และผลตอบแทนจากพระองค์มากกว่ายิ่งๆ ขึ้นไป

ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินคำพูดของบรรดาผู้ทรงความรู้ทางศาสนาได้กล่าวว่า “การกระทำ (อะมั้ล) ที่ประเสริฐที่สุด คือการกระทำที่มีความยากลำบากที่สุด”

นั่นเป็นเพราะว่า “อะมั้ล” หรือการกระทำความดีใดๆ ก็ตามของมนุษย์ที่มีผลในการขจัดอารมณ์ใฝ่ต่ำ ความลุ่มหลง และความ

อะมัล้ (การกระทำ) ทีป่ระเสรฐิทีส่ดุ

รักในความสะดวกสบายของมนุษย์ได้มากว่า มันก็ย่อมส่งผลในการชำระขัดเกลาจิตวิญญาณและสร้างความสวยงามและความสมบูรณ์ให้กับจิตวญิญาณของมนษุยไ์ดม้ากกวา่นัน่เอง (โดยธรรมชาต ิแล้ว (อะมั้ล) การกระทำที่ยากลำบากนั้นจะมีลักษณะเช่นนี้) และนี่คือบรรทัดฐานประการหนึ่งในการวัดคุณค่าของอะมั้ล (การกระทำ) ต่างๆ

บางที เราอาจกล่าวถึงบรรทัดฐานอีกประการหนึ่งที่จะใช้วัดหรือรับรู้ถึงคุณค่าที่มากกว่าหรือความประเสริฐที่มากกว่าของอะมั้ล (การกระทำ) ต่างๆ ได้ นั่นคือ ทุกๆ อะมั้ล (การกระทำ) ที่มนุษย์กระทำโดยมุ่งหวังความพึงพอพระทัยจากอัลเลาะฮ์ (ซบ.) สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะคือ

1.อะมั้ล (การกระทำ) ซึ่งผลของมันย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำอะมั้ลนั้นๆ โดยเฉพาะ โดยที่ผู้อื่นไม่ได้รับประโยชน์จากการกระทำ (อะมั้ล) ดังกล่าวเลย อะมั้ล (การกระทำ) ในลักษณะเช่นนี้เปรียบได้ดั่งอาหารอันโอชะ และจะให้พละกำลังแก่มนุษย์ ซึ่งบุคคลที่บริโภคมันเข้าไปก็จะได้รับความอิ่มเอม ได้รับกำลังวังชา และมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น : การทำอิบาดะฮ์ต่างๆ ที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจ การนมาซตะฮัจญุด และการอดหลับอดนอนในยามค่ำคืนเพื่อทำอิบาดะฮ์ ซึ่งมันจะเสริมสร้างพลังแห่งความศรัทธา (อีหม่าน) และความยำเกรง (ตักวา) และจะสร้างความสวยงามและความสมบูรณ์ให้แก่ผู้กระทำมัน โดยสื่อจากการกระทำอะมั้ล ดังกล่าวจะทำให้เขาได้รับประโยชน์ ในด้ านจิตวิญญาณได้มากกว่ า สามารถสัมผัสและรับรู้ถึงรสชาติของความหวานชื่นแห่งโลกหน้าได้มากกว่าหากเขาได้ปฏิบัติมัน

แต่ทว่าเสียงรำพึงรำพัน (มุนาญาต) และน้ำตาที่เขาหลั่งมันออกมาในยามค่ำคืนอันดึกสงัด มันไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวด ความหิวกระหาย และเสียงคร่ำครวญของบรรดาผู้ยากไร้และผู้อ่อนแอคนอื่นๆ ได้เลย อะมั้ล (การกระทำ) ประเภทนี้ แม้จะมีความจำเป็นต่อการเพิ่มพลัง ทำนุบำรุงและขัดเกลาจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเปรียบได้ดังอาหารที่ร่างกายของเรามีความต้องการมัน แต่ทว่าอะมั้ล (การกระทำ) ประเภทนี้เป็นอะมั้ลที่มีเพียงด้านเดียว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือการกระทำ (อะมั้ล) ส่วนตัว ซึ่งผลของมันเกิดขึ้นเฉพาะกับตัวผู้ที่ปฏิบัติมัน ส่วนบุคคลอื่นๆ ไม่มีส่วนร่วมในผลของอะมั้ลเหล่านี้

2.อะมั้ล (การกระทำ) ซึ่งความดีงามและประโยชน์ของมันนอกจากจะย้อนกลับมาสู่ผู้ที่ปฏิบัติมัน และทำให้จิตวิญญาณของเขาเกิดความสะอาดบริสุทธิ์แล้ว บุคคลอื่นๆ ยังได้รับประโยชน์จากการกระทำอันดีงามของเขาอีกด้วย การกระทำของเขาสามารถบรรเทาความทุกข์ยากและความเจ็บปวดแก่ผู้อื่นได้ การกระทำ (อะมั้ล) ลักษณะนี้เราเรียกว่า “การกระทำที่ให้ผลตอ่สว่นรวม” หรอื “การกระทำ (อะมัล้) ทีม่สีองดา้น”

อะมั้ล (การกระทำ) เหล่านี้เปรียบเหมือนดั่งตะเกียงหรือคบเพลิงที่บุคคลหนึ่งจุดมันขึ้น ซึ่งนอกจากตัวเขาเองจะได้รับแสงสว่างแล้ว ขณะ

เป็นเพราะความรักและความผูกพันที่เขามีต่อความดีงามและคุณธรรมความดีเพียงเท่านั้นที่เป็นตัวบังคับเขาสู่การกระทำเช่นนั้น และเป้าหมายที่ เขากระทำสิ่งเหล่านี้ก็ เพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้า มุ่งหวังในพระเมตตาธิคุณจากพระองค์ และบางครั้งเขากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยมิได้หวังการยกย่องชมเชย และการขอบคุณใดๆ จากผู้อื่น ดังแบบอย่างของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ของท่านศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์ (ศ็อลฯ) ที่อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ได้ทรงยกตัวอย่างให้เห็นในคัมภีร์ของพระองค์ โดยทรงตรัสว่า

“และพวกเขาให้อาหารแก่คนอนาถา เด็กกำพร้าและเชลยศึก (โดยพวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่านโดยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ เรามิได้หวังการตอบแทนและการขอบคุณใดๆ จากพวกท่าน” (ซูเราะฮ์ อัล อินซาน/โองการที่ 8-9)

อะมั้ล (การกระทำ) ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อพระผู้ เป็นเจ้าโดยแท้จริง และมันคือ “อะมั้ลที่ประเสริฐที่สุด” (อัฟฎอลุ้ลอะอ์มาล)

อะมั้ล (การกระทำ) ลักษณะเช่นนี้เราสามารถพบเห็นได้อยา่งมากมายในหลกัคำสอนอนัสงูสง่ของอสิลาม ในแบบฉบบั (ซนุนะฮ)์ ของท่านศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์ (ศ็อลฯ) และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ของท่าน

บรรดาผู้ศรัทธาและเป็นผู้ที่ยึดมั่นในแนวทางของท่านผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ ต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า การเลือกปฏิบัติสิ่งต่างๆ ที่เป็นคุณธรรมความดีนั้น เราจะต้องไม่หยุดอยู่เฉพาะในอะมั้ล (การกระทำ) ที่มีเพียงด้านเดียวเท่านั้น ซึ่งประโยชน์ของมันจะเกิดขึ้นเฉพาะตัวผู้ปฏิบัติเพียงอย่างเดียว แต่จงเรียนรู้แบบอย่างและคุณธรรมอันสูงส่งจากบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ผู้บริสุทธิ์ และนำสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงของเราทุกคน

และท้ายที่สุดนี้ขอนำแบบอย่างอันสูงส่งอีกตัวอย่างหนึ่งจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) มาเสนอ เพื่อจุดประกายความคิด และเป็นการตระหนักถึงอะมั้ลที่มีคุณค่ายิ่งที่เรียกว่า “อัฟฎอลุ้ลอะอ์มาล” (การกระทำที่ประเสริฐที่สุด) โดยที่ท่านอิมาม ฮุเซน (อ.) ได้อ้างคำพูดของท่านศาสนทูต (ศ็อลฯ) ผู้เป็นตาของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวว่า

“ส่วนหนึ่งจากบรรดาอะมั้ล (การกระทำ) ที่ประเสริฐที่สุด ณ อัลเลาะฮ์ ผู้ทรงเกริกเกียรติ ผู้ทรงเกรียงไกร คือการทำให้บรรดาตับไตรุ่มร้อน (จากความกระหาย) นั้นเย็นลง และการทำให้บรรดาผู้หิวโหยได้รับความอิ่มเอม ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า จะยังไม่ศรัทธาต่อฉัน การที่บ่าวคนหนึ่งนอนหลับในยามค่ำคืนในสภาพที่อิ่มหนำ ในขณะที่พี่น้องของเขา (หรือเพื่อนบ้านของเขา) ซึ่งเป็นมุสลิมอยู่ในความหิวโหย”

ทัศนะ-บทความ

เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ อิมามมัสยิดซอฮิบุซซะมาน

ออกห่างไปจากชาติมหาอำนาจ และประการที่สอง คือ ปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างประเทศ

ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า สภาพการณ์ของโลก ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ณ วันนี้ เราได้ยินเสียงการโค่นล้มขององค์กรต่างๆในโลกมากมาย และเราได้เห็นความหายนะของระบอบการเมอืง และระบอบเศรษฐกจิ ยิ่งกว่านั้น เราได้พบเห็นวิกฤตการณ์ทางการเมือง และความปลอดภัยเข้มข้นขึ้นทุกวัน

ขา้พเจา้ขอเตอืนซำ้ๆ ตอ่บรรดาชาตบิรวิาร ทั้งหลายที่ยังไม่หวนกลับจากแนวทางที่ผิดพลาด ซึ่งกำลังติดพันอยู่กับรัฐบาลทั่วโลกในเวลานี้

ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อที่ประชุมนี้ และขอ บอกว่า รัฐบาลที่อธรรม จะนำพาโลกไปสู่จุดจบ แน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ รัฐบาลนี้กำลังถึงทางตัน ด้วยสาเหตุเพราะปรัชญาของมันตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อการก่ออาชญากรรม

แน่นอนสัจธรรมต้องชนะความผิดพลาด และในอนาคตจะสดใส จะมีผู้นำความยุติธรรมมาสู่โลก เพราะว่า นั่นคือสัญญาจากพระเจ้า ด้วยความหวังร่วมกัน และประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งมวลแห่งมนุษย์ชาติ

ประธานาธิบดีกล่ าวในตอนท้ ายว่ า ระบอบทุนนิยมตะวันตก กำลังมาถึงจุดจบของมันแล้ว ความพินาศของมัน ก็จะเป็นเช่นเดียวกับความพินาศของระบอบคอมมิวนิสต์ สาเหตุที่ทำให้ระบอบทุนนิยมและระบอบคอมมิวนิสต์ มาถึงจุดจบเช่นนี้ ก็คือ การที่มันไม่ได้พิจารณาไปยังโลกและมนุษย์ ตามที่ควรจะพิจารณา และมันพยายามที่จะบังคับให้มนุษย์อยู่ในเป้าหมายและจุดประสงค์ของมันเพียงอย่างเดียว

ท่านได้ชี้ต่อไปว่า มีความเป็นไปได้ในการแก้ไขของโลก แต่เราจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันว่า ภารกิจนี้จะเป็นจริงไม่ได้ เว้นแต่จะต้องมีความร่วมมือกัน ระหว่างประชาชนในประเทศทั้งหลาย

การมาของข้าพเจ้าในที่ประชุมนี้ และคำกล่าวที่มีต่อพวกท่าน ก็เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าให้เกียรติต่อปัญหาที่สำคัญนี้ และเช่นเดียวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนและการปกป้องสิทธิของประชาชน ต่อหน้าขบวนการคลั่งไคล้ชาติพันธุ์อันอัปยศ

ข้อเสนอประการที่สอง ก็คือ ท่านมีความเห็นว่า ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีระเบียบอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ไม่มีคุณค่าทางการเมือง เศรษฐกิจ ความปลอดภัย วัฒนธรรมระหว่างประเทศ จำเปน็อยา่งยิง่ทีจ่ะตอ้งมกีารปรบัปรงุเปลีย่นแปลง รากเหง้า และหลักการขั้นพื้นฐานในการบริหารสหประชาชาติ โดยนำเอาหลักการอันทรงคุณค่าของพระเจ้า และของมนุษยชาติและยอมรับความถูกต้อง ตามความเป็นจริงของมนุษย์ บนพื้นฐาน การให้ความเคารพในสิทธิมนุษยชน ทั่วทุกมุมโลก และยอมรับความผิดพลาดในอดีต

ท่านย้ำว่า จำเป็นในอนาคตที่เราต้องมีแผนงานมาปรับปรุงแก้ไขทันทีในการจัดประชุมเกี่ยวกับความปลอดภัยและต้องยกเลิกสิทธิการวีโต้ และการเปลี่ยนแปลงระเบียบการเงิน การคลังของโลก เป็นที่ยอมรับว่า การไม่รับรู้ปัญหา ให้ทันท่วงที และการไม่ให้ความสำคัญต่อปัญหาเหล่านี้ มันจะนำพาพวกเราไปสู่การเสียค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล กับความสูญเปล่าของมัน สำหรับการแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้ในอนาคต

ในตอนสุดท้าย ประธานาธิบดีได้กล่าวว่า รับรองได้เลยว่า อนาคตอันสดใสของมนุษยชาติ อันหมายถึงต้นทุนที่ยิ่งใหญ่ อันสามารถที่จะวางพื้นฐานให้คนในโลกนี้ ดำรงอยูด่ว้ยความรกั ความสขุ และเอือ้อาทร จะไม ่ปรากฏริว้รอยของความลำบากยากจน และความ ชิงชังรังเกียจ ขอให้พวกเรามาร่วมกันสร้างปรากฏการณอ์นัยิง่ใหญน่ีใ้หเ้ปน็จรงิขึน้มาใหไ้ด ้

แปลเรียบเรียง : อ.อัยยูบ ยอมใหญ่

เดียวกันบุคคลอื่นๆ ก็ได้รับแสงสว่างนั้นด้วย และภายใต้แสงสว่างนี้เองที่ทำให้บุคคลอื่นๆ สามารถขจัดภัยอันตรายให้หมดไปจากตัวเองได้

3.อะมั้ล (การกระทำ) ซึ่งประโยชน์ทางด้านวัตถุของมั น เ กิ ด ขึ้ น กั บ ผู้ อื่ น ทั้ ง ร้ อ ยเปอร์เซ็นต์ โดยที่ผู้ปฏิบัติจะไม่ได้รับสิ่งใดนอกจากความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกาย

Page 12: Imamiyah Journal 02

�� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 รายงาน

แบบนี้เช่นเดียวกัน และวันที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ถือกำเนิดนั้นโลกกำลังอยู่ในสภาพเช่นนั้นทั้งหมดทั่วทุกมุมโลก

ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องเล่าแต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติ นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ทั้งตะวันตกและตะวันออกได้บันทึกเอาไว้ตรงกัน ในประวัติศาสตร์อิสลามเองก็ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้

ในช่วงเวลานั้น ท่านศาสดามุฮัมมัดมีสาวก ผู้ทรงเกียรติ นามว่า เกส บิน อาสิม เป็น สาวกที่ได้รับการยอมรับและที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง เรื่องราวของท่านได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่า วันหนึ่งเขาได้มาหาท่านศาสดา และได้สารภาพบาปกับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ว่า “โอ้ รอซูลุลเลาะฮ์ บาปที่ฉันทำไว้ในอดีตซึ่งฉันคิดว่า อัลเลาะฮ์ (ซ.บ) นั้นคงจะไม่ทรงอภัยโทษให้กับบาปของฉันที่ฉันกระทำในสมัยญาฮีลียะห์อย่างแน่นอน

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) จึงได้ถามกับเขา ว่า แล้วเจ้าไปทำบาปอันใดมาหรือ? จึงได้เกรงกลัวว่าอัลเลาะฮ์ (ซ.บ) นั้นจะไม่ทรงอภัยโทษให้แน่ ทั้งๆ ที่มันเป็นบาปที่เจ้ากระทำในสมัยญาฮิลียะห์

เขาตอบว่า โอ้รอซูลุลเลาะฮ์ ในสมัยที่ฉันยังไม่ได้เข้ารับอิสลามนั้นหลังจากที่ฉันได้แต่งงานภรรยาของฉันได้ตั้งครรภ์ และนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่ข้าพเจ้า ทันทีที่ฉัน ทราบว่าทารกน้อยทืถือกำเนิดมาเป็นบุตรีฉันก็ได้เอาบุตรีคนนั้นไปฝังทั้งเป็น และเมื่อภรรยาของฉันได้ตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สอง นางได้ให้กำเนิดบุตรีอีกครั้งหนึ่ง ฉันก็นำทารกน้อยคนนั้นไปฝังทั้งเป็นอีก คนที่สาม คนที่สี่ คนที่ห้า คนที่หก คนที่เจ็ด คนที่แปด คนที่เก้า คนที่สิบคนที่สิบเอ็ด ฉันฝังบุตรีของฉันทั้งหมดสิบเอ็ดคน

แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เมื่อภรรยาของฉันตั้งครรภ์์คนที่สิบสอง ในระหว่างที่นางตั้งครรภ์ฉันมีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างเมืองเป็นเวลาแรมเดือนพอฉันกลับมาก็ได้พบว่านางได้ให้กำเนิดบุตรแล้ว ฉันจึงได้ถามนางว่าบุตรของเราเป็นยังงัย นางได้บอกว่าฉันได้แท้งไปแล้ว เรื่องราวก็จบลงแค่นั้น

หลังจากนั้นเขาได้เล่าอีกว่า เวลาหกปีผ่านไปฉันต้องเดินทางอีกครั้ง แต่ในการเดินทางครั้งนั้นฉันได้กลับมาบ้านเร็วกว่าปกติ และเมื่อฉันกลับมาในบ้านก็ได้พบเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในบ้านกับภรรยาของฉัน ฉันได้ถามภรรยาของฉันว่าเด็กน้อยคนนี้คือใครกัน เป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดู นางจึงได้กล่าวว่า อภัยให้ฉันด้วย ฉันจึงได้ทราบว่าเด็กคนนั้นคือบุตรีของฉัน

และในตอนเย็นของวันหนึ่งฉันได้จูงเด็กคนนั้นออกไปข้างนอกเหมือนกับจะพาเด็กน้อยไปเดินเล่น ฉันได้พาออกไปนอกเมืองไปยังหลุมที่ฉันได้แอบขุดเอาไว้และได้นำเด็กน้อยอายุหกขวบลงไปในหลุมและฉันก็ค่อยๆ กลบทรายลงไปในหลุมเพื่อที่จะฝังเด็กคนนั้นเสีย ในตอนแรกเด็กน้อยคิดว่าพ่อของเธอกำลังเล่นกับเธออยู่ก็เลยช่วยขุดคุ้ยทรายเพื่อกลบหลุมด้วย แต่เมื่อทรายเริ่มเต็มหลุมเด็กน้อยเริ่มกลัวและเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

โอ้รอซูลุลเลาะฮ์ เด็กคนนั้นได้ร้องไห้และร้องวิงวอนต่อฉันว่า โอ้พ่อจ๋า เมตตาฉันด้วย ในขณะที่ทรายกำลังจะท่วมหน้าของเธอ แต่ฉันไม่ได้ฟังต่อเสียงเรียกร้องขอความเมตตานั้นเลย และฉันได้ฝังบุตรของฉันอีกเป็นคนที่สิบสอง

นี่คือสิ่งที่เกส ได้สารภาพกับท่านศาสดา มุฮัมมัด (ศ.) ว่า คือบาปในยุคญาฮีลียะห์ และความเป็นอยู่เช่นนั้นก็มิได้มีฉพาะกลุ่มชาวอาหรับเท่านั้น ทั่วทั้งโลก ณ วันนั้นมีวัฒนธรรมแบบนี้เหมือนกันหมด นักบันทึกประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวในเอเชียใต้ ในอินเดีย ในจีน ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้ทั้งสิ้น ความตกต่ำทางวัฒธรรมมีหลายมุมมอง มุมมองที่มีต่อสตรี ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสังคมและอื่นๆ

ในอินเดีย ในจีน การรีดนาทาเร้นคนยากคนจนนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความตกต่ำที่สุดใน

ยุคนั้น ที่นาที่ดินทั้งหมดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทุนกลุ่มหนึ่งในชนชั้นศักดินาเท่านั้น ชาวไร่ชาวนาก็จะต้องทำไร่ทำนาเพื่อรับใช้ศักดินาเหล่านั้น บางคนทำนานานถึงหกเดือน แต่มีข้าวเหลือสำหรับตัวเองแค่ไม่กี่กิโลกรัมที่เหลือเป็นค่าเหนื่อยและไว้ใช้กินเองจนกว่าจะได้ทำนาอีกครั้ง

ผลรางวัลของความเหน็ดเหนี่อยนานนับเป็นเดือนๆทั้งหมดกลับกลายเป็นของนายทุนศักดินาทั้งหลาย และเมื่อข้าวสารไม่กี่กิโลกรัมที่พวกเขาได้รับหมดลง พวกเขาก็ต้องไปกู้ยืมข้าวสารจากบรรดานายทุนเหล่านั้นอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อเอามากินประทังชีวิต มนุษย์ในยุคนั้นต้องกู้ข้าวสารมากิน

และเมื่อถึงเวลาที่ต้องคืนข้าวสารที่กู้ยืมมา หากผู้ยากจนเหล่านั้นไม่สามารถคืนได้ทันตามกำหนด นักบันทึกประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า บรรดาชาวไร่ชาวนาเหล่านั้นจะต้องจ่ายลูกสาวและเมียของเขาเพื่อขัดดอกในการกู้ยืม เป็นการขัดดอกไม่ใช่ชดใช้ส่วนที่กู้ยืมมา ต้นยังอยู่ ลองคิดดูว่าวันหนึ่งลูกเมียของเขาต้องถูกยึดไปเป็นเครื่องมือบำเรอทางเพศของนายทุนเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เขานับว่าเป็นอารยธรรม และปฏิบัติเป็นที่ยอมรับกันในยุคนั้น ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จำนวนมากในยุคนี้ก็เกิดมาจากสตรีที่ถูกขัดดอกเหล่านั้นในอดีต เช่นเดียวกันในกรุงโรมมีสภาพเช่นนี้ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์จำนวนมากเกิดจากสตรีที่ถูกยึดไปเป็นทาสเป็นเชลยไปขัดดอก เผ่าพันธุ์มนุษย์บังเกิดมาในรูปลักษณะเช่นนี้ นั่นหมายถึงในยุคสมัยนั้นมนุษย์เกือบจะถูกทำลายลงเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อใครเป็นแม่

ความยิ่งใหญ่แห่งการมาของอิสลาม และการมาปรากฏตัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) แน่นอนเราไม่สามารถที่จะพูดให้หมดได้ถึงความยิ่งใหญ่นั้น ทุกบทบัญญัติในอิสลามต้องการเวลาในการขยายความอย่างมากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจากหลายๆ เรื่องในอิสลามที่ได้ถูกเขียนและได้ถูกนำเสนอโดย นักวิชาการชาวฝรั่งเศสที่ไม่ใช่มุสลิมคนหนึ่ง ซึ่งถูกยอมรับว่าเป็นนักเขียนนักบันทึกประวัติศาสตร์ของโลกคนหนึ่ง เขาขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า

“ที่โลกนี้ยังเหลือเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติอยู่และสามารถแยกแยะได้ว่า ใครเป็นลูกของใคร มาจากตระกูลไหน ใครนามสกุลอะไร ความยุติธรรมในเรื่องของการค้าขาย ที่มนุษย์ผู้ยากจนสามารถที่จะลืมตาอ้าปากได้จนปัจจุบันนี้นั้น พึงรู้ไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นหนี้คำสั่งสอนของอิสลามที่มุฮัมมัดนำมา”

นี่คือความเชื่อของนักวิชาการชาวตะวันตกที่ศึกษาประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์มาอย่างละเอียด เท่านี้เพียงพอหรือยังที่จะชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอิสลาม และความมีเกียรติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)

บัญชาหนึ่งของพระองค์อัลเลาะฮ์ (ซ.บ) ที่ทรงตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา อัลเลาะฮ์ได้ทรงทำให้การค้าขายเป็นสิ่งอนุมัติ และทรงได้ทำให้ดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม”

อัลเลาะฮ์ทรงอนุมัติการค้าขาย และทรงทำให้ดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม และเมื่อพระบัญชานี้ลงมา อิสลามจึงได้ทำสงครามกับดอกเบี้ยทันที เป็นการปฏิวัติทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งใหญ่ในโลกอิสลามโดยการล้มระบบดอกเบี้ย ดังนั้นใครก็ตามที่ทำการค้าขายในระบบดอกเบี้ยคนนั้นกำลังทำสงครามกับอิสลาม

เมื่อคำสั่งนี้ปรากฎมวลมุสลิมได้ปฏิบัติตามพระบัญชา ระบบดอกเบี้ยได้ถูกประกาศยกเลิกโดยท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) มวลมุสลิมจึงได้รับอนิสงค์ทันที คนยากคนจนได้ถูกปลดเปลื้องจากความกดขี่ และที่ไม่ใช่มุสลิมก็พลอยได้รับอนิสงค์จากพระบัญชานั้นด้วย เพราะในวันนั้นคำบัญชานี้ได้แพร่ขยายไปในสามอารยธรรมทันที อารยธรรมเปอร์เซียได้เข้าน้อมรับอิสลามและได้รับอนิสงค์

ก่อนใคร และอารยธรรมอื่นๆ ได้มีการลุกฮือของชาวนาชาวไร่เพื่อต่อต้านระบบศักดินา การลุกฮือต่อต้านระบบดอกเบี้ยวันนั้นขยายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า คือมรรคผลของการปฏิวัติของอิสลาม โดยการนำมาของศาสดาที่ชื่อมุฮัมมัด (ศ.)

เรามาดูว่าอิสลามมีวิธีการในการปฏิวัติอารยธรรมของมนุษย์แบบใด เรื่องราวและแบบฉบับต่างๆ มากมาย ซึ่งเราไม่สามารถนำมากล่าวได้ทั้งหมด แต่จะขอยกสักเรื่องมาเป็นตัวอย่าง เช่น ด้วยเหตุใดพระองค์อัลเลาะห์ (ซ.บ) จึงไม่อนุมัติให้ท่านมีบุตรชาย ท่านเคยมีบุตรชาย แต่ก็เสียชีวิตทุกคนตั้งแต่เยาว์วัย เหตุไฉนผู้สืบทอดตระกูลวงศ์วานของศาสดาจึงเป็นผู้หญิง ซึ่งมีนามว่า ฟาติมะห์ (อ.) ซึ่งศาสดาได้ให้เกียรติอย่างสูงสุดอย่างสูงส่งแก่นาง นับว่าเป็นการสวนกระแสวัฒนธรรมและอารยธรรมที่มีอยู่ ณ วันนั้นอย่างจัง ท่านหญิงฟาติมะห์ซึ่งเป็นบุตรีของท่านศาสดา (ศ.) แต่พี่น้องทราบไหมว่าเมื่อนางเดินมา ท่านศาสดา (ศ.) ต้องรีบลุกขึ้นไปหานาง เพื่อเป็นการให้เกียรติ ทว่ามิใช่เพียงเท่านั้นท่านศาสดายังแสดงการให้เกียรติโดยการจับมือของนางขึ้นมาจุมพิตด้วย การปฏิบัติของท่านศาสดาที่มีต่อบุตรีของท่านเช่นนี้ เพื่อต้องการทีจะ่ชี้ให้เห็นถึงมุมมองของอิสลามที่มีต่อสตรี ต้องการให้รู้ว่าอิสลามถือว่า สตรีก็คือสิ่งถูกสร้างที่มีเกียรติยิ่งนัก แม้แต่ศาสดาเองก็ยังต้องให้เกียรติ ดังนั้นการมาของศาสดามุฮัมมัด (ศ.) หรือการมาของอิสลาม คือการปฏิวัติอารยธรรมที่ตกต่ำอย่างรุนแรงในช่วงขณะนั้น

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการมาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เป็นเรื่องที่ทราบกันดีในหมู่นักวิชาการของทุกๆ ศาสนา นักวิชาการพี่น้องคริสเตียนจำนวนมาก ได้เขียนหนังสือและยอมรับอย่างศิโรราบต่อคำสั่งสอนที่ท่านศาสดามุฮัมมัดนำมานั้นว่ามันยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติมาก และมนุษยชาติทุกคนเป็นหนี้บุญคุณต่อคำสั่งสอนของอิสลาม ปัจจุบันที่ยังมีอารยธรรมที่ดีหลงเหลืออยู่ก็เนื่องจากการปฏิวัติอารยธรรมของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) นั่นเอง นี่คือทัศนะของคนต่างศาสนิกที่พวกเขาต่างเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) และศาสนาอิสลาม

แต่สิ่งที่น่าละอายน่าเสียใจที่สุด เมื่อในหมู่มุสลิมเรายังมีมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่ยังโง่ เขลาเบาปัญญา และมีอคติ ในทุกๆ ปีเมื่อเดือนแห่งการรำลึกถึงศาสดาผู้ยิ่งใหญ่มาถึง พวกเขาจะมุ่งมั่นต่อต้านการรำลึกถึงท่านศาสดา มุฮัมมัด (ศ.) อย่างขมักเขม้น แทนการพูดและจัดงานรำลึกเพื่อเทิดเกียรติอันยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) มุสลิมพวกนั้นก็คือ พวกวะฮาบีย์ ลัทธิบิดเบือนที่มักอ้างตนเองว่าเป็นผู้ที่มีความรักต่อท่านศาสดาและอยู่ในสุนนะห์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) แต่วะฮาบีย์พวกนี้กลับนำเสนอสิ่งที่สร้างความอัปยศอดสูให้แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) โดยการกล่าวโพนทนาว่าการจัดงานรำลึกถึงท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) การสรรเสริญต่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) นั้นเป็นการตั้งภาคี เป็นการกระทำที่ถูกอุตริขึ้นในอิสลาม วะฮาบีย์พวกนี้ได้ทำให้เดือนที่มีความจำเริญกลายเป็นเดือนแห่งการทะเลาะเบาะแว้งในหมู่มุสลิม แทนที่จะนำแบบฉบับเกียรติยศและศักดิ์ศรีของท่านศาสดามานำเสนอแก่มวลมุสลิมและมนุษยชาติ จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียใจที่สุดที่เรามีกลุ่มมุสลิมที่โง่เขลาเบาปัญญากลุ่มนี้อยู่ในอิสลาม

ในปีหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปประกอบพิธีฮัจญ์ และข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้เข้าพบกับอับดุลอะซีซ บินบาส มุฟตีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของวะฮาบีย์ซึ่งมีตาที่บอดสนิททั้งสองข้าง และเสียชีวิตไปแล้ว ในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปหามุฟตีผู้นั้น เขากำลังรับประทานอาหารและมีบรรดาสาวกหลายคนกำลังนั่งล้อมเขาอยู่ และเมื่อเขารับประทานอาหารเสร็จ บรรดาสาวกเหล่านั้นได้รุมล้อมไปที่สำรับอาหารที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของบินบาสทันที เพื่อแย่งเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของ

ด้วยพระนามของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงกรุณาปรานีผู้ทรงเมตตานิรันดร มวลการสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่อัลเลาะฮ์เพียงพระองค์เดียว

ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีและปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้อง ณ ที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

ในวันนี้ท่ามกลางมัจญลิสที่เราได้รวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าได้รับทราบว่ามี นักคิด นักเขียน นิสิตนักศึกษา ปัญญาชนหลายคนที่นั่งอยู่ในงานค่ำคืนนี้ ซึ่งข้าพเจ้ามีสามหัวข้อด้วยกันที่จะมาพูดคุยกับพี่น้อง

ประเด็นที่หนึ่ง ข้าพเจ้ามีเรื่องราวอยากจะพูดและขยายความ อยากจะประกาศให้ชาวโลกได้ทราบ มิใช่เฉพาะมวลมุสลิมเท่านั้นว่า ค่ำคืนนี้นั้น หรือมัจญลิสที่ถูกจัดขึ้นมาเพื่อเทิดเกียรติศาสดาองค์สุดท้ายของเรานั้นสำคัญสักเพียงใด จริงๆ แล้วการเทิดเกียรติและยอมอย่างสิโรราบให้กับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) นั้น เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะมีศาสนาหรือไม่ก็ตาม

ณ วันนี้ เผ่าพันธ์ของมนุษย์่ทั้งโลก อารยธรรมต่างๆ ความดีงาม ที่ยังคงเหลืออยู่ในสังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด สังคมที่นับถือศาสนาอิสลามหรือไม่ก็ตามที สังคมที่ไม่มีแม้แต่ศาสนา เขาจะต้องรู้ว่า ความยุติธรรม ความมีมนุษยธรรม วัฒนธรรมอารยธรรมที่ดีงามทั้งมวลที่ยังคงอยู่ในวันนี้นั้น ทั้งหมดล้วนเป็นหนี้บุญคุญของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เพราะการมาปรากฏตัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นยังคงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้

นักประวัติศาสตร์ทั้งตะวันตกและตะวันออกได้บันทึกเรื่องราวไว้ตรงกันว่า ในช่วงสมัยที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ถือกำเนิดจนกระทั่งถึงวันแห่งการประกาศแต่งตั้งให้ท่านได้เป็นศาสดานั้น โลก ณ วันนั้นมีสามอารยธรรมที่สำคัญและยิ่งใหญ่คือ 1- อารยธรรมแห่งโรม 2- อารยธรรมแห่งเปอร์เซีย 3- อายธรรมแห่งเอเซียใต้ ซึ่งหมายถึง จีนและอินเดีย

นั่นคือสามอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีอยู่ในยุคสมัยนั้น ที่ถูกยอมรับว่าเป็นอารยธรรม นอกเหนือจากนั้นไร้ซึ่งอารยธรรมทั้งสิ้น แต่อย่าเข้าใจผิดว่านั่นคืออารยธรรมที่ดี หาใช่เช่นนั้นไม่ แต่สามอารยธรรมดังกล่าวกำลังดิ่งสู่จุดต่ำสุดและเลวทรามทีส่ดุแหง่อารยธรรมในวนันัน้ นกัประวตัศิาสตร ์ทั้งตะวันตกและตะวันออกได้บันทึกเรื่องราวไว้เหมือนกันทุกคน

ดังนั้นหากเราจะเริ่มต้นจากพวกที่ ไม่มีอารยธรรม เช่น อาหรับญาฮิลียะห์ ซึ่งไม่ได้ถูกนับว่ามีอารยธรรมในวันนั้น ยุคแห่งญาฮิลียะห์ในห้วงเวลาของการถือกำเนิดจนถึงวันประกาศตนเป็นศาสดาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) นั้น เราได้อ่านได้ฟังมาอย่างมากมาย แนวทางการดำเนินชีวิตของพวกเขา ทัศนะของพวกเขาที่มีต่อสตรี ต่อสังคม และเพื่อนมนุษย์

อาหรับในยุคนั้นเมื่อทำสงครามและหากเขาพิชิตศัตรูได้ เขาจะสับร่างของศัตรูเป็นชิ้นๆ และเอากระดูกของศัตรูมาเป็นเครื่องประดับกายด้วยการแขวนคอ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรอาหรับในยุคนั้น สตรีคือสิ่งที่ตกต่ำและเลวทรามที่สุดในสายตาของชาวอาหรับญาฮิลียะห์ พวกเขาพร้อมที่จะทำสงครามเข่นฆ่าคนเป็นพันๆ คนในยุคนั้นเพียงแค่มีการทะเลาะกันระหว่างสองเผ่าพันธ์แค่เรื่องว่า อูฐของเผ่าใดสวยและงามกว่ากัน

ความจริงนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่าความโง่เขลา มีอยู่ทั้งสามอารยธรรมที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งมนุษย์เรียกเรียกว่า อารยธรรม เช่นในโรม หากมีสงครามและเมื่อพวกเขาฆ่าศัตรูได้ก็จะตัดอวัยวะของอีกฝ่ายมาเป็นเครื่องประดับกายหรือให้กับภรรยาของตน สตรีถูกนับว่าเป็นซาตาน เป็นตัวแทนแห่งซาตาน ตามซอยที่มีสตรีเดินสวนกับผู้ชาย ผู้ชายจะหลีกห่างนั่นคือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าอารยธรรมในกรุงโรม ในอินเดียในจีนก็มีมุมมอง

คำปราศรยัของทา่นอายะตลุเลาะฮ ์ญะวาด มรัวยี ์ มจัญลสิเมาลดินุนบ ีณ ฮซุยันยิะห ์อมิามซยันลุอาบดินี (อ.) ละง ูสตลู เมือ่วนัที ่21 มนีาคม 2552 แปลโดย ซยัยดิสไุลมาน ฮซุยัน ี

REPORT

Page 13: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ��REPORT สตรี-เยาวชน

บินบาสมากินเพื่อทำการตะบัรรุก (แสงหาความเป็นสิริมงคลจากเศษอาหารที่บินบาซกินเหลือ)

ข้าพเจ้าเห็นดังนั้นจึงทนไม่ได้และได้ชี้ไปที่หน้าของบรรดาสาวกเหล่านั้นและได้กล่าวแก่พวกเขาทันทีว่า “พวกเจ้าไม่อายหรือในขณะที่พวกเจ้ากำลังแย่งเศษอาหารที่ผู้นำตาบอดของพวกเจ้ากินเหลือด้วยความภาคภูมิใจ ในขณะที่มุสลิมคนอื่นๆ เขาต้องการที่จะตะบัรรุกและสรรเสริญท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) พวกเจ้ากลับไปประนามมุสลิมเหล่านั้นว่าเป็นคนตกศาสนาบ้างเป็นผู้ตั้งภาคีบ้าง บิดอะห์บ้าง ทั้งๆ ที่บุคคลผู้ซึ่งมุสลิมเหล่านั้นจะทำการตะบัรรุกคือศาสดาของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ) พวกเจ้าไม่อายเลยหรือ? โอ้พวกโง่เขลาเบาปัญญาเอ๋ย!

ประเด็นที่สองที่อยากจะพูดคุยกับพี่น้องในคืนนี้ คือความภาคภูมิใจของเราชีอะห์อิมามียะห์ที่มีความรักต่ออะห์ลุลบัยต์ (อ.) เราชีอะห์นี่แหละที่ปกป้องเทิดทูนและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) มากที่สุด การที่เรายอมรับว่า ลูกหลานอะห์ลุลบัยต์คือผู้นำที่มาทำหน้าที่แทนท่านศาสดา เพราะท่านเป็นคนสั่งให้เรายอมรับ เราเชื่อในคำสั่งของท่านศาสดา ในทางตรงกันข้ามความเชื่อที่ว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดไว้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเลย นั่นคือการดูหมิ่นท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) อย่างรุนแรง

ในประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าการที่ อุมัร อิบนุ คอตตอบ ได้แต่งตั้งสภาขึ้นมาเพื่อคัดเลือกผู้นำนั้นเกิดมาจากคำพูดของ อับดุลเลาะฮ์ อิบนิ อุมัร บุตรชายของเขาว่า “โอ้ท่านพ่อ ขณะนี้ท่านก็กำลังจะเสียชีวิตแล้ว ท่านต้องแต่งตั้งผู้นำคนต่อไปหลังจากท่าน พ่อไม่คิดหรือว่าหากประชาชาติอิสลามต้องอยู่ในภาวะที่ไร้ผู้นำ ท่านพ่อจะะไม่ถูกประนาม? ท่านพ่อเห็นไหมว่าหากใครปล่อยให้ฝูงแกะออกมาเดินกันเองเพ่นพ่านแล้วไม่มีคนเลี้ยงแกะคอยดูแลแน่นอน เจ้าของแกะฝูงนั้นต้องถูกประนามถึงการกระทำเช่นนั้น นั่นแค่แกะยังต้องมีคนคอยดูแลพวกมัน ดังนั้นประชาชาติอิสลามยิ่งสำคัญกว่าจะต้องมีผู้นำตลอดเวลา” นี่คือคำพูดของอับดุลเลาะฮ์ที่ได้กล่าวแก่บิดาของเขา ที่ได้เตือนพ่อของเขาให้รีบแต่งตั้งผู้นำที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนเขาเอาไว้เสียไม่ว่าจะแต่งตั้งโดยตรงหรือโดยสภาก็ตาม แต่การแต่งตั้งผู้นำต้องเกิดขึ้น

มุอาวิยะห์บุตรของ อะบูซุฟยาน ก็เช่นกัน เมื่อเขาได้แต่งตั้ง ยะซีดให้เป็นคอลีฟะฮ์ ครั้นมีคนถามว่าทำไมจึงได้ทำเช่นนั้น? เขาตอบทันที “ฉันเป็นห่วงประชาชาติของศาสดามุฮัมมัดจะต้องตกอยู่ในภาวะไร้ผู้นำหากฉันเป็นอะไรไปก่อนที่ฉันจะได้แต่งตั้งผู้ใดเอาไว้ ฉันยอมไม่ได้หรอก อิสลามอันยิ่งใหญ่มีศัตรูอย่างมากมาย วินาทีเดียวก็ไม่สามารถอยู่อย่างไร้ผู้นำได้ ดังนั้นก่อนที่ฉันจะจากโลกนี้ไปฉันจะต้องมั่นใจว่าอิสลามนั้นปลอดภัยจากเรื่องนี้แล้ว ฉันจึงได้แต่งตั้งยะซีดบุตรชายของฉัน ให้เป็นผู้นำต่อหลังจากฉัน”

มุสลิมส่วนมากยอมรับการกระทำของ อุมัร อิบนิ คอตตอบ และมุอาวิยะห์ อิบนิ ซุฟยาน เรื่องการแต่งตั้งผู้นำ แต่กลับไม่ยอมรับว่าศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้แต่งตั้งผู้นำไว้แล้ว แสดงว่าในทัศนะของมุสลิมเหล่านั้นถือว่า อุมัร อิบนิ คอตตอบ และ มุอาวิยะห์ อิบนิ ซุฟยาน ฉลาดและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและห่วงประชาชาติอิสลามมากกว่าศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ท่านศาสดาจากแล้วจากไปเลยโดยไม่แต่งตั้งผู้ใดไว้ ให้เป็นผู้นำศาสนานี้ไม่ได้พูดอะไรเอาไว้เลยต่อเรื่องผู้นำหลังจากท่าน อย่างนั้นหรือ? ลองใช้สติปัญญาข้างขวาไตร่ตรองดูสักนิดเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?

และนี่คือความภาคภูมิใจของเรา เราชีอะห์อิมามียะห์ที่มีความเชื่อว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้แต่งตั้งผู้นำเอาไว้แล้ว นั่นแหละคือการให้เกียรติท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ว่าท่านได้ทำอย่างชาญฉลาดที่สุด ส่วนความเชื่อที่บอกว่าท่านศาสดาจากไปโดยที่ไม่ได้แต่งตั้งผู้นำเอาไว้นั้น นั่นคือความเชื่อที่โง่เขลาที่สุด

ทำไมชีอะห์จึ ง ไม่ ให้ เกียรติซอฮาบะห์ (สาวก) ของท่านศาสดาทุกคน? คำตอบก็คือ ชีอะห์ไม่เชื่อว่าสาวกของท่านศาสดาทุกคนนั้นเป็นคนดีเสียทั้งหมด ชีอะห์ให้เกียรติต่อบรรรดาสาวกของท่านศาสดาที่เป็นคนดีเท่านั้น

ในหนังสือประวัติศาสตร์ของพี่น้องซุนนี

บันทึกไว้อย่างมากมายถึงการกระทำความชั่วของซอฮาบะหห์ลายคน อาท ิอาบซูฟุยาน บดิา มอุาวยิะห ์ในวันแห่งการพิชิตมักกะห์หลังจากที่อิมามอะลี (อ.) ได้ขึ้นไปกวาดล้างบรรดาเจว็ดต่างๆ ที่อยู่บนอาคารอัลกะบะห์จนหมดเกลี้ยงแล้ว ท่านบิล้าลทาสผิวดำคนหนึ่งก็ได้ถูกส่งขึ้นไปกล่าวอะซาน และเมื่อท่านบิล้าลได้กล่าวอะซานมาถึงประโยคที่ว่า “วะอัชฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรรอซูลุลเลาะฮ์”ในบันทึกของพี่น้องชาวซุนนีเอง ต่างบันทึกไว้ว่า เมื่อเสียงการยืนยันถึงการเป็นศาสนทูตของศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ดังขึ้น อาบูซุฟยานได้กล่าวขึ้นว่า “โอ้ อนิจจาฉันน่าจะตายไปก่อนหน้านี้ ที่จะไม่ต้องฟังชื่ อของมุฮัมมัดถูกป่าวประกาศบนบ้านของอัลเลาะฮ์เช่นนี้” นั่นเป็นช่วงสุดท้ายของอิสลามแล้ว เขายังไม่ยอมรับอิสลามอีก แล้วไหนล่ะความมีเกียรติของบุคคลเช่นนี้ หรือจะปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่สาวกของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)

มีตัวอย่างอีกมากมาย อาทิ หลังจากการจากไปของท่านศาสดา 25 ปี เมื่อมุอาวิยะห์ประกาศตัวตั้งตนเองเป็นผู้นำอิสลามที่เมืองชามหรือประเทศซีเรียปัจจุบัน วันหนึ่งเมื่อเขานั่งอยู่ในพระราชวังมรกตร่วมกับพวกสมุน เมื่อเวลานมาซมาถึง เสียงอะซานก็ได้ดังขึ้นตามมัสยิดต่างๆ ทั่วเมือง เช่นเดียวกันเมื่อประโยค “วะอัชฮะดุอันนะ มุฮัมมะดัรรอซูลุลเลาะฮ์” ดังขึ้น มุอาวิยะห์ได้หันไปพูดกับลูกสมุนของมันว่า “ดูซิ ลูกพี่ลูกน้องของฉัน (หมายถึงศาสดามุฮัมมัด) เก่งขนาดไหนที่สามารถเอาชื่อของตัวเองไปต่อหลังจากชื่อของพระเจ้าได้”

มุอาวิยะห์ได้กล่าวต่อว่า “หากฉันยังมีชีวิตและมีโอกาส อีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญยิ่งของฉันที่จำเป็นต้องทำคือนำชื่อของมุฮัมมัด ออกจากเสียงอะซานให้ได้และนำไปฝังลงในพื้นดินเสีย” นี่คือคำพูดของมุอาวิยะห์ ที่นักบันทึกประวัติศาสตร์ชาวอะห์ลิซุนนะห์หลายๆ คนได้บันทึกคำพูดนี้ของ มุอาวิยะห์เอาไว้เอง ตรงนี้ เองที่ชีอะห์เชื่อว่า ซอฮาบะห์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ไม่ได้เป็นคนดีหมดทุกคน และซอฮาบะห์เช่นนี้หรือที่มุสลิมควรให้เกียรติยกย่อง และบอกว่าเขาคือชาวสวรรค์

ความภาคภูมิใจอีกประการหนึ่งของชีอะห์อิมามียะห์ คือการที่เราได้ปกป้องท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) หลักฐานข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดว่าชีอะห์มีความรักต่อท่านศาสดาอย่างแท้จริง และพร้อมที่จะพลีชีพและทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อปกป้องเกียรติยศของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ก็คือเรื่องราวของ ซัลมาน รุชดี ที่เราคงได้ยินมาแล้ว หนึ่งในนักเขียนที่เป็นคนตกศาสนาชาวอินเดียที่ได้ประพันธ์หนังสือดูหมิ่นท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) อย่างหยาบคายเป็นอย่างมาก ขอถามว่าอุลามาอ์ซุนนีได้ตอบโต้อย่างไรบ้างกับนักเขียนผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นในซาอุดิอาราเบีย ในอียิปต์ หรือที่อื่นๆ สิ่งที่เราทราบไม่มีใครกล้าแสดงจุดยืนใดๆ เลยต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามนั้น!

แต่ที่ทราบกันทั่วโลก อิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) เท่านั้นที่แสดงบทบาทอันสำคัญออกมาในขณะที่โลกอิสลามกลับเงียบกริบ โดยการออกคำฟัตวาว่า ซัลมานรุชดี จะต้องตาย ผู้เขียน ผู้แปล ผู้พิมพ์ ผู้จำหน่าย หนังสือเล่มนี้ทุกคนมีโทษประหารชีวิต มุสลิมคนใดทั้งโลกนี้ที่เข้าปฏิบัติภารกิจอันนี้ ไม่ว่าจะสังหาร ผู้เขียน ผู้แปล ทำลายร้านที่จำหน่ายหนังสือเล่มนี้และเกิดอะไรขึ้นกับเขา เท่ากับเขาเสียชีวิตในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า (ชะฮีด) เป็นคำฟัตวาสะท้านโลก อิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ได้ใช้อำนาจของคำฟัตวาหยุดการดูหมิ่นเหยียดหยามท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) แน่นอนสิ่งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ไม่อย่างนั้นคงฟัตวากันนานแล้ว แต่หลังจากที่อิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้ออกคำฟัตวานี้ ประเทศอิหร่านได้ถูกบอยคอต ถูกแซงชั่นจากสหประชาชาติถึง 23 ปี บีบทุกรูปแบบเพื่อให้ถอนคำฟัตวานั้น ประเทศยุโรปประกาศตัดความสัมพันธ์เรียกคณะทูตกลับเพื่อบีบท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) แต่อิหร่านไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งอันนี้ และคำฟัตวาอันนี้ได้หยุดแผนการอื่นๆ ทั้งหมดที่คิดจะทำลายเกียรติยศของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ความภาคภูมิใจอันนี้ เกียรติยศอันนี้เป็นของเราชีอะห์อิมามียะห์ ผู้ที่ถูกกล่าวหามาตลอดจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) แต่นี่เป็นหลักฐานที่ยืนยันให้ชีอะห์อย่างภาค

ภูมิใจว่า “ในโลกนี้ไม่มีใครรักท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) มากกว่าพวกเราอีกแล้ว”

และการถูกบอยคอตการถูกแซงชั่นเหล่านั้นจากทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ที่เกิดจากการปกป้องเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ในครั้งนั้นโดยคำฟัตวาของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้นำประเทศอิหร่านสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เพราะการถูกบอยคอตอันนี้ อิหร่านจึงดิ้นรนพัฒนาตัวเองทุกรูปแบบในทุกด้าน จนกระทั่งวันนี้ไปถึงการพัฒนานิวเคลียร์ได้แล้ว มากไปกว่านั้นสดๆ ร้อนๆ เราได้ผลิตและส่งดาวเทียม “อุมีด” ขึ้นสู่วงโคจรของชั้นอวกาศเป็นผลสำเร็จ ผลิตเอง ยิงเอง ทำทุกอย่างเอง หนึ่งในแปดของโลกเท่านั้นที่ทำได้จนถึงขณะนี้ เพราะบางประเทศอาจจะผลิตเอง แต่ต้องจ้างอีกประเทศยิงให้ แต่ดาวเทียม “อุมีด” เป็นฝีมือล้วนๆ ของหนุ่มสาวชาวมุสลิมอิหร่าน

จนกระทั่ งอุลามาอ์ชั้ นสู งหลายคนในประเทศอียิปต์ทนไม่ได้ต่อการประสบความสำเร็จอันนี้ของมุสลิมในอิหร่าน ได้ลุกขึ้นเรียกร้องประนามรัฐบาลอียิปต์ว่า “จงดูอิหร่านเป็นตัวอย่างได้แล้ว วันนี้ประชาชาติอิหร่านได้ผลิตและยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในห้วงอวกาศได้ด้วยตัวเองแล้ว ในขณะที่รัฐบาลอียิปต์กำลังร่วมมือกับรัฐบาลอิสราเอลค้นหาอุโมงค์ที่ประชาชนชาวกาซาขุดเพื่อหลบหนีเข้าเมืองราฟาห์ (ราฟาห์เป็นเมืองชายแดนที่อยู่ระหว่างอียิปต์กับปาเลสไตน์ และชาวเมืองกาซาได้ขุดอุโมงค์เพื่อเป็นเส้นทางการหลบหนีจากการตามล่าสังหารของทหารอิสราเอลเข้าประเทศอียิปต์ และชาวเมืองราฟาฮ์ก็ปกปิดช่วยเหลือชาวกาซา ดังนั้นรัฐบาลอียิปต์จึงช่วยรัฐบาลอิสราเอลในการค้นหาอุโมงค์เหล่านั้น)

วันนี้รัฐบาลอียิปต์กำลังวุ่นอยู่กับการค้นหาอุโมงค์เหล่านั้นเพื่อจะระเบิดและปิดอุโมงค์ไม่ให้พี่น้องมุสลิมชาวกาซาหลบหนีเข้าไปหลบภัยได้ พวกเราวันนี้ยังอยู่ใต้ดินอยู่เลยแต่อิหร่านขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว” นั่นคือคำพูดของอุลามาอ์ของอียิปต์ที่ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลของเขา รัฐบาลอียิปต์ยังง่วนอยู่ใต้ดิน และเป็นการอยู่ใต้ดินที่เป็นการทรยศต่ออิสลามและทรยศต่อพี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์ ในขณะทีอ่หิรา่นเขายงิดาวเทยีมขึน้สูฟ่ากฟา้ไดแ้ลว้

ประเด็นที่สามที่จะเป็นประเด็นสุดท้าย คือ อยากจะบอกให้กับพี่น้องได้ทราบว่าโลก ณ วันนี้ก็จะพัฒนาไปสู่การรอคอยอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับอารยธรรมที่ เลวทรามในอดีตช่วงเวลาการถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) มนุษยชาติผู้ที่ถูกกดขี่ในอารยธรรมที่เลวทรามในอดีต และพวกเขาได้รับอนิสงค์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการมาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) วันนี้ก็อีกคำรบหนึ่ง พี่น้องที่รักทุกท่านอารยธรรมอันเลวทราม ญาฮิลียะห์ต่างๆ เหล่านั้นได้กลับมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบเดิมของมัน หน้าตาอาจจะเปลี่ยนไปแต่ความเลวทรามยังคงเดิม การเข่นฆ่ามนุษย์ที่บริสุทธิ์อย่างไร้มนุษยธรรมอย่างไร้ความปราน ี ไม่แยกแยะชายหญงิ เดก็ผูใ้หญ ่คนชรา

เหตการณ์ที่เกิดขึ้นในกาซาที่เพิ่งจบลงไป

หมาดๆ เป็นสิ่งพิสูจน์ ระเบิดชนิดต่างๆ ที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนไม่เคยทราบว่ามีอยู่ด้วยในโลกนี้ ระเบิดฟอสฟอรัสขาวที่ระเบิดเป็นฝักบัว ชิ้นส่วนหนึง่ชิน้สว่นใดของระเบดิอนันี ้หากเขา้ไปในรา่งของ มนุษย์คนใดจะทำให้กระดูกของเขาผู้นั้นเป็นผุยผง กระดูกถูกสับให้เป็นชิ้นๆ ในรูปแบบใหม่แต่ความโหดร้ายคงเหมือนเดิม พวกเขาไม่เคยแยแสว่าเป้าของระเบิดลูกนี้จะไปตกที่เด็กผู้หญิงหรือคนชราก็ตาม

อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในกาซาเลวร้ายยิ่งกว่าอาชญากรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเสียอีก และในเวลาเดียวกันยุคสมัยที่โลกกำลังเข้าสู่การเจริญทางด้านอารยธรรมที่ดีงาม เรามีศาลโลกอยู่ที่กรุงเฮก เพื่อที่จะหยุดอาชญากรรมทางสงครามหลังจากที่โลกได้รับความเจ็บปวดจากสงครามโลกครั้งทีห่นึง่และครัง้ทีส่อง แตว่นันัน้คณะอานญุาโตตลุาการ ของศาลโลกกรุงเฮกนั้นไม่เห็นอะไรเลยในเขตกาซา

เ มื่ อ ก่ อ น ศ า ล โ ล ก เ ป็ น ค ว า ม ห วั ง ข อ งมนุษยชาติที่จะจัดการกับอาชญากรสงคราม แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในกาซาศาลโลกแห่งกรุงเฮกไม่ได้ยินแม้แต่นิด ตาบอดหูหนวก เป็นใบ้ และเพื่อที่จะล้างอายว่าเขายังมีอยู่นั้น กลับออกหมายจับ อุมัร บาชีด ผู้นำซูดานว่าก่ออาชญากรรมฆ่ามนุษย์ที่กาฟูร เพื่อกลบอาชญากรรมของอิสราเอลที่เข่นฆ่ามนุษย์ที่กาซา ทั้งๆ ที่ในกาฟูรไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ตามที่พวกเขากล่าวหา แต่เป็นการรบกันระหว่างเผ่าเพื่อแย่งชิงที่ทำกิน เพราะกาฟูรเป็นแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ของซูดาน มีการแย่งชิงระหว่างชนเผ่าจนมีการปะทะกันแค่นั้นเอง เลวต่ำทรามและกดขี่กว่านี้มีอีกไหมในรูปแบบของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ วันนี้ในประเทศจีน เอ็นจีโอต่างๆที่เข้าไปหาข้อมูล รายงานตรงกันทั้งหมดว่า ตั้งแต่มีอำนาจการปกครองของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ และวางนโยบายให้คนจีนมีบุตรเพียงคนเดียว เพราะจีนไม่สามารถรองรับการมีลูกเป็นโหลๆ ได้ เพราะจีนมีประชากรหล้ายพันล้านคนในประเทศ หลังจากกฏหมายนี้ประกาศใช้ เอ็นจีโอรายงานเหมือนกันทั้งหมดว่า นับแต่วันนั้นถึงวันนี้มีเด็กทารกหญิงจีนได้ถูกฆ่าไปเป็นจำนวนหนึ่งร้อยล้านคนแล้ว โดยการทำแท้งหรือฆ่าทิ้งหลังจากที่คลอดออกมา และอื่นๆ ระบบดอกเบื้ย ระบบการเอารัดเอาเปรียบต่างๆมากมายได้กลับมาหมดแล้วพี่น้อง

และแน่นอนเมื่อสภาพเป็นเช่นนี้ก็ย่อมจะมีผู้มาปลดปล่อยปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โลกกำลังบีบตัวมันเองเพื่อทำให้มนุษยชาติกลับไปยอมรับการมาปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) และท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ก็จะประกาศว่า โอ้ชาวโลกทั้งหลาย ฉันคือมะฮ์ดี ฉันคือมะฮ์ดี ฉันคือมะฮ์ดี ที่จะมาเติมเต็มความยุติธรรมที่จะมาทำลายล้างความอยุติธรรมต่างๆที่มีอยู่บนโลกนี้

และอัลฮัมดุลิละห์ เมื่อพูดถึงอิมาม มะฮ์ดี (อ.) ก็เป็นความภาคภูมิใจของของพวกเราชีอะห์อิมามียะห์อีก เพราะมีแต่ชีอะห์เท่านั้นที่มีความเชื่อนี้ เราคือผู้รอคอยอย่างแท้จริง เรามีกิจกรรมแห่งการรอคอย นี่คือหนึ่งอีกความภาคภูมิใจของพวกเรา ชีอะห์.

(ขวา) อายะตุลเลาะฮ์ ญะวาด มัรวีย์ (ซ้าย) ซัยยิดสุไลมาน

Page 14: Imamiyah Journal 02

�� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 CULTURE-KNOWLEDGE

ศิลปะ-วัฒนธรรม-วิทยาการ

ในวันหนึ่งบะห์ลูลได้เดินผ่านมัจญลิสของอะบูฮานีฟะห์ ซึ่งอะบูฮานีฟะห์กำลังสอนวิชาการให้กับศานุศิษย์อยู่

บะห์ลูลจึงได้เงี่ยหูฟังและได้ยิน อะบูฮะนีฟะห์กำลังกล่าวว่า “ฉันได้ยินอิมาม ญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) กล่าวสิ่งหนึ่งซึ่งฉันรับไม่ได้เลยต่อคำพูดดังกล่าวนั้น สิ่งหนึ่งคือ เขากล่าวว่า ชัยฏอนมารร้ายจะถูกลงโทษทัณฑ์ด้วยการถูกเผาไฟที่ร้อนระอุ

แล้วจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อตัวชัยฏอนมารร้ายเองที่ถูกสร้างมาจากไฟ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะถูกเผาด้วยไฟได้อีก

ประการที่ สอง เขากล่ าวว่ า เ ราไม่สามารถมองเห็นพระองค์อัลเลาะฮ์ด้วยตาเปล่าได้ แล้วจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อพระองค์ทรงมีอยู่ เนื่องจากว่าทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ย่อมมองเห็นและสำผัสได้ หากมองไม่เห็นและสำผัสไม่ได้นั่นหมายถึงไม่มีสิ่งนั้นอยู่

ประการที่สามเขากล่าวว่าทุกกิจการงานมนุษย์คือผู้กระทำ ในขณะที่ความจริงแล้วทุกๆ กิจการงานของมนุษย์นั้นล้วนเป็นพระประสงค์จากพระองค์ทั้งสิ้นมิใช่จากบ่าว

ผู้ต่ำต้อยเช่นเรา” เมื่อบะห์ลูลได้ยินเช่นนั้นเขาได้หันไปหยิบ

ดินแห้งก้อนหนึ่งขึ้นมา และขว้างใส่ไปที่หน้าผากของอะบูฮะนีฟะห์อย่างจังทันที จนอะบู ฮะนีฟะห์ได้รับบาดแผลฉกรรณ์ที่หน้าผาก บรรดาศานศุษิยข์องเขาไดเ้ขา้มารมุจบัตวับะหล์ลู ไว้ และนำตัวบะห์ลูลไปหาคอลีฟะห์เพื่อลงโทษ

แต่บะห์ลูลได้ถามขึ้นทันทีว่า “ฉันได้ทำอะไรให้ท่านหรือถึงได้จับฉันไว้เช่นนี้??”

อะบูฮานีฟะฮ์ ตอบว่า “เจ้าได้ขว้างก้อนดินใส่หน้าผากฉันจนหน้าผากฉันได้รับบาดเจ็บไม่เห็นหรือ?”

บะห์ลูลจึงถามกลับว่า “ไหนท่านลองชี้ตัวความเจ็บปวดให้ฉันเห็นได้ไหม?”

อะบูฮะนีฟะห์ตอบว่า “ฉันไม่สามารถที่จะชี้ตัวความเจ็บปวดให้เจ้าได้หรอกเพราะมันมองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้”

บะห์ลูลกล่าวว่า “อ้าวหากท่านไม่สามารถชี้ให้ฉันเห็นได้แล้วท่านมาบอกว่าท่านมีความเจ็บได้อย่างไรกันเล่า? ท่านเองมิใช่รึที่สอนสั่งศานุศิษย์ของท่านเมื่อกี้ว่าทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่บนโลกนี้ต้องมองเห็นและสำผัสได้เท่านั้น

เมือ่‘อะบฮูะนฟีะห’์เสยีรู‘้บะหล์ลู’ อีกอย่างท่านมิได้ถูกสร้างจากดิน

กระนั้นหรือ? หากท่านเชื่อว่าท่านถูกสร้างจากดินจริงแล้วท่านจะเจ็บได้อย่างไร? ในเมื่อท่านเองไม่เชื่อว่าสิ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันสามารถที่จะทำลายตัวของมันเองได้ ดั่งที่ท่านกล่าวเรื่องชัยฏอนจะไม่สามารถทำลายด้วยไฟได้ แล้วสิ่งที่ฉันขว้างใส่ท่านก็คือดินที่มีคุณสมบัติเดียวกับตัวท่านแหละ และด้วยความเชื่ออันนี้ของท่าน พิสูจน์ได้ว่าฉันไม่ได้ทำไรให้ท่านเสียหายเลย

ประการสุดท้าย เมื่อซักครู่ท่านก็พูดเองนี่ว่า ไม่ว่ากิจการงานใดๆ ที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ล้วนเป็นพระประสงค์ของพระองค์ทั้งสิ้นไม่เกี่ยวไรกับบ่าวของพระองค์เลย ดังนั้นที่ฉันขว้างดินใส่หน้าผากท่านตามความเชื่อของท่านแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนกระทำแน่นอนพระองค์ต่างหากที่ส่งดินก้อนนั้นไปที่หน้าผากของเจ้า”

อะบูฮะนีฟะห์ จึงรู้ตัวทันทีว่าเขาเสียรู้บะห์ลูลเสียแล้ว คอลีฟะห์ฮารูน รอชีด เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะและปล่อยบะห์ลูลไปในที่สุด.

อะบมูซูา ญาบริ บนิ ฮยัยาน

กรุงเบอร์ลิน และรวมถึงในหอสมุดกรุงปารีส โดยเขาได้รวบรวมหนังสือถึง 3,900 เล่มในวิทยาการต่างๆ รวมทั้งแผนที่

แม้ว่าเขาจะลือชื่อว่าป็นบิดาแห่งนักเคมีอาหรับเปอร์เซีย แต่นักวิชาการต่างเชื่อว่า บุคคลที่ประสิทธิประสาทวิชาการแก่เขาคือ ลูกหลานของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ที่ชื่อ ญะอ์ฟัร ซอ

ดิก อิมามคนที่หก ในมัซฮับชีอะห์อิมามียะห์ ญาบิร บิน ฮัยยาน คือ บุคคลแรกที่วาง

กฎเกณฑ์ต่างๆ เชิงวิทยาศาสตร์ทางด้านเคมี กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับชื่อของท่าน ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากอาจารย์ ซึ่งปรากฎในรายงานหัวข้อ “ อาหรับคือแหล่งที่มาของอารยธรรมยโุรป” ในหนงัสอืพมิพ ์“อษั-เษาเราะฮ”์ กรุงแบกแดด ฉบับเดือนธันวาคม ค.ศ.1961 ที่มีข้อความหนึ่งว่า “ท่านญะอ์ฟัร ซอดิก คือ บุคคลแรกที่ทดลองตัวแปรที่ทำให้เกิดกรดขึ้นมา”

ผ ล ง า น เ ขี ย น ห นั ง สื อ ข อ ง ญ า บิ ร สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม :

• หนังสือจำนวน 112 เล่ม เขียนให้บาร์มาคิดส์ (Barmakids) ขุนนางอาวุโสของกาหลิบ ฮารูน อัลรอชิด หนังสือกลุ่มนี้ประกอบด้วยงานเขียนเก่าแก่ในภาษาอาหรับ Emerald Tablet ซึ่งเป็นรากฐานและแหล่งความรู้ของเคมีวิทยา และในสมัยกลางได้ถูกแปลเป็นภาษาละตินในชื่อ Tabula Smaragdina และถูกแพร่หลายไปทั่วในหมู่นักเคมีวิทยาของยุโรป

• หนังสือจำนวน 70 เล่ม ส่วนใหญ่ได้ถูกแปลเป็นภาษาละตินในสมัยกลาง หนังสือใน

กลุ่มนี้ประกอบด้วย Kitab al-Zuhra (ตำราแห่งความรัก) และ Kitab Al-Ahjar (ตำราเกี่ยวกับเรื่องหิน)

• หนังสือจำนวน 10 เล่ม เกี่ยวกับ การปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ประกอบด้วยคำอธิบายของนักเคมี ได้แก่ ปีธากอรัส โสเครตีส เพลโต และอริสโตเติล

• หนังสือเกี่ยวกับความสมดุล หนังสือกลุ่มนี้ได้แก่หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าน คือ ทฤษฏีของสมดุลในธรรมชาติ

ญาบิร บินฮัยยาน ลูกศิษย์ของอิมาม

ญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ได้สำแดงถึงประวัติศาสตร์ ของอิสลามที่ยังไม่เคยปรากฎมาก่อนว่าสถาบันการศึกษาใดจะยิ่งใหญ่กว่าสถาบันการศึกษาของอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ถือว่าอิมามเป็น “ประมุขแห่งวิชาการ” ที่มีนักศึกษามากมายและมีวิชาการหลากหลายสาขาในสถานศึกษาแห่งนั้น มุสลิมทั่วโลกต่างได้หันเข้าศึกษาเรียนรู้และดื่มด่ำกับความรู้ของท่าน และได้ถ่ายทอดสืบกันต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

และที่สำคัญตอนนี้ในตะวันตกพยายามอย่างยิ่งที่จะชี้ชัดว่า ญิบเบอร์ (อะบูมูซา ญาบิร บิน ฮัยยาน) คือนักเคมีวิทยาชาวตะวันตกโดยหนังสือทุกเล่มที่แปลออกมาจะใช้ชื่อผู้เขียน ว่าญิบเบอร์ (pseudo-Geber) ซึ่งเดิมเป็นชาวชนชาติสเปน อันเนื่องมาจากว่าปัจจุบันนี้ต้นฉบับที่แปลเป็นภาษาอาหรับนั้นหาได้ยากมากแทบจะไม่มีเสียด้วยซ้ำ ชาวตะวันตกพยายามที่จะนำเสนอว่า ญิบเบอร์นั้นคือ นักวิชาการชาวตะวันตก อันความจริงแล้วหากต้นฉบับที่ถูกแปลออกไปเป็นภาษาลาตินหรือภาษาใดๆก็ตามสมควรยิ่งนักที่จะลงชื่อผู้เขียนไว้ให้ชัดเจนว่า อะบูมูซา ญาบิร บิน ฮัยยาน มากกว่าใช้ชื่อ pseudo-Geber ซึ่งจะทำให้ชนรุ่นหลังไม่รู้จักและไม่ทราบว่า ผู้เขียนจริงๆแล้วเป็นนักวิชาการมุสลิม สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มุสลิมควรตระหนักยิ่งนักที่จะนำเสนอบุคคลเหล่านี้เผยแพร่ลงในสื่อให้ชาวโลกทั้งที่มิใช่มุสลิมหรือมุสลิมด้วยกันเองให้เป็นที่ทราบกันทั่วไป ว่าศิลปะวิทยาการ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการที่โด่งดังในอดีตทั้งหมดล้วนเป็นมุสลิมที่ ได้รับมรดกตกทอดโดยถูกถ่ายทอดความรู้มาจากบรรดาลูกหลานของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ทั้งสิ้น ซึ่งล้วนเป็นวิชาการอันสูงส่งยิ่งของท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ.) ที่ได้รับมาจากพระองค์อัลเลาะฮ์ (ซ.บ) พระผู้ทรงเกรียงไกร

จึงยากนักที่จะปฎิเสธว่าท่านรอซูลุลลอฮ์ (ศ.) และบรรดาลูกหลานของท่านฯ คือ บ่อเกิดและประตูแห่งวิชาการ

โดย ณ พญาบังสา

ญาบิร เป็นบุตรของท่าน ฮัยยาน บิน อับดุลเลาะฮ์ ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 721 หรือในปี ฮ.ศ. 80 บ้างว่าในระหว่างปี ฮ.ศ.ที่103-170 ณ เมืองตูส แคว้นคุรอซาน ประเทศอิหร่าน (เมืองมะฮ์ชัด ปัจจุบัน) นอกจากชื่อเสียงทางด้านเคมีวิทยา แล้วยังถูกรู้จักว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักเภสัชวิทยา นักฟิสิกส์ นักภูมิศาสตร์ รวมถึงยังเป็นนักปรัชญาขั้นสูงอีกด้วย นักปรัชญาฝรั่งเศสได้ให้สมญานามญาบิรว่า เป็น “อาจารย์แห่งวิชาการ” ท่านถูกยอมรับว่าคือ ผู้บุกเบิกวิชาการมากมายถึง 19 สาขาวิชา

ญาบิร บินฮัยยาน เป็นศิษย์คนหนึ่งของ อิมามญะฮ์ฟัร ซอดิก (อ.) ซึ่งในช่วงเวลานั้นบ้าน ของอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ได้รับถูกขนานนามว่าเป็น “มหาวิทยาลัย” แหล่งกำเนิดของเหล่าบรรดานักปราชญ์และผู้ทรงความรู้ขั้นสูง

ญาบิร มีความสนใจในเรื่องเคมีและคณิตศาสตร์เป็นทุนเดิมบวกกับความพร้อมและเหมาะสม อิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) จึงได้ถ่าย ทอดวิชาการของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ที่ไม่เคยสั่งสอนให้ใครมาก่อนแก่ญาบิร เกี่ยวกับวิชา “เคมีวิทยา” และสาขาวิชาอื่นๆ จนกระทั่งญาบิรได้เขียนตำราเกี่ยวกับคำสอนต่างๆ ของอิมาม ญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ไว้มากมายหลายร้อยเล่ม

ชาวยุโรปได้เริ่มแปลหนังสือของเขาเป็นภาษาละตินในช่วง ค.ศ. 11 และ 13 หลายเล่ม และได้ถูกนำไปตีพิมพ์ในเยอรมันกว่าจำนวน 500 เล่ม และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนังสือที่เขียนได้ดีที่สุด ซึ่งปัจุบันยังมีอยู่ในหอสมุดกลางของ

“บดิาแหง่วชิาเคม”ี ศษิยเ์อกของอมิามญะอฟ์รั ซอดกิ (อ.)

มหาวิทยาลัยแห่งญะอ์ฟะรีย์ คือ ของขวัญอันล้ำค่าที่อิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ได้มอบให้แด่มวลมุสลิมและมนุษยชาติ นักวิชาการที่ลือชื่อในยุคสมัยนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวโลกล้วนเป็นสานุศิษย์ของ อิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) ที่ผ่านการศึกษาหาความรู้มาจาก “มหาวิทยาลัยญะอ์ฟะรีย์” ตามรายงานที่มี บรรดาสานุศิษย์ของอิมามญะอ์ฟัร ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาแห่งนี้มากถึง 4,000 คน และทุกคนมีชื่อเสียงที่โด่งดังในแต่ละสาขาวิชา และเป็นบิดาแห่งวิชาการในยุคปัจจุบันทั้งสิ้น และหนึ่งในนั้นที่จะหยิบยกมากล่าวตรงนี้คือ อะบูมูซา ญาบิร บิน ฮัยยาน บิดาแห่งวิชาเคมีที่โลกปัจจุบัน รู้จักในนาม Geber (ญิบเบอร์) ที่มาจากภาษาละติน ซึ่งได้ถูกยกย่องและให้เกียรติว่าเป็น “บิดาแห่งวิชาเคมี” เขาเป็นลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.)

Page 15: Imamiyah Journal 02

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ��

ศิลปะ-วัฒนธรรม-วิทยาการ

ใบสมคัรสมาชกิ

*รูปแบบการสมัครสมาชิก : บุคคล หน่วยงาน

*ประเภทที่สมัคร : สมาชิกใหม่ ต่ออายุสมาชิกหมายเลข.........................

*ประเภทสมาชิก : รับเอกสาร 12 เล่ม/150 บาท

สนับสนุนการจัดพิมพ์ เป็นจำนวนเงิน................................บาท

รายละเอียดสมาชิก

*ชื่อสมาชิก/หน่วยงาน............................................................................................................

ชื่อ-สกุล ผู้ติดต่อ.........................................................................(กรณีสมัครในนามหน่วยงาน)

เพศ ชาย หญิง อายุ................... วันเกิด........................................................

อาชีพ...................................................... ระดับการศึกษา......................................................

โทรศัพท์................................................... มือถือ...................................................................

*โทรสาร.......................................................... *E-Mail .........................................................

สถานที่จัดส่ง

*ที่อยู่........................................หมู่.................... *แขวง/ตําบล..............................................

*เขต/อําเภอ...................................................... *จังหวัด ......................................................

*รหัสไปรษณีย์.......................................

การออกใบเสร็จ

*ออกใบเสร็จในนาม................................................................... (ชื่อบุคคล หรือ ชื่อหน่วยงาน)

*ที่อยู่

..............................................................................................................................................

..............................................................................................................................................

..............................................................................................................................................

การชําระเงิน

เงินสด ชําระได้ที่ตัวแทนอิมามิยะฮ์ เจอร์นัล หรือ ตัวแทน อะฮฺลุลบัยตฺ อะคาเดมี

โอนเงิน ผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาควนกาหลง

ชื่อบัญชี “นายมาหะมะ มูนะ” เลขที่ 919-0-14488-0

ธนาณัต ิ สั่งจ่าย “นายมาหะมะ มูนะ” ปณ.ฉลุง 91140

เพื่อยืนยันการชําระเงิน กรุณาส่งหลักฐานใบโอนเงินหรือสลิป ATM มายังกองบรรณาธิการ

แฟกซ์ : 074-799141 หรือ E-mail: [email protected]

“จงทำดีเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้กระทำการงานอย่างดีเยี่ยม” (บะกอเราะฮ์ : 195)

บอ บอ ‘ฮามีด’ นั่งเย็บรองเท้าอยู่ใกล้กับประตูโรงเรียน สวมหมวกสีดำกับรองเท้าเก่าๆ ชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่ชายชราสนทนากับเด็กๆ ด้วยกับสีหน้าที่ยิ้มแย้ม สวยงามเต็มไปด้วยความเมตตาเสมอ

หนูน้อย ชื่อ ‘มัรยัม’ ชอบและรักชายชราผู้นี้ เป็นพิเศษ วันหนึ่งระหว่างทางไปโรงเรียน สายสะพายกระเป๋าของเธอขาด เธอได้วิ่งมาหา บอ บอ ฮามีด...

หนูมัรยัม : “สลามจ่ะ คุณตาเป็นไงบ้าง สบายดีนะจ่ะ ? คุณตา ดูนี่สิ สายสะพายกระเป๋าของหนูขาดแล้ว คุณตาจะเย็บให้หนูหรือเปล่า ?”

บอ บอ ฮามีด : “ทำไมจะไม่เย็บให้ล่ะ เร็วเข้าเอากระเป๋าให้ตาสิ” แล้วก็เริ่มเย็บกระเป๋าให้หนูน้อย และนำกระเป๋าแขวนไปบนไหล่ของหนูน้อย แล้วลูบไปบนศรีษะ พร้อมกับรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “เร็วเข้ารีบไปโรงเรียน กำลังจะสายแล้ว”

อากาศค่อย ๆ หนาวขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนั้นหนูน้อยอำลาคุณตา “โคดาฮาฟีดจ๊ะ” แล้วหันกลับมามองคุณตา แล้วกล่าวว่า “คุณตาเอาผ้าคลุมไหล่หนูไปสิ”

บอ บอ ฮามีด ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบไปเร็วหนูน้อยคนดีของฉัน สายแล้ว เดี๋ยวประตูโรงเรียนปิดน่ะ”

มัรยัมก็รีบวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อ

ไปให้ทันก่อนที่ประตูโรงเรียนจะปิด ในวันนั้นหนูน้อยมัรยัมคร่ำครวญพูดอยู่กับตัวเองว่า จะต้องให้ผ้าคลุมไหล่สวยๆ เป็นของขวัญกับคุณตาฮามีดให้ได้ แต่...ทำไงล่ะ? หนูน้อยมัรยัมตะโกนขึ้นมาด้วยกับความดีใจว่า “เราจะทำยังไง ให้ได้ผ้าคลุมไหล่เป็นของขวัญให้กับคุณตาฮามีดดดด ?”

มีนอร์ เพื่อนของมัรยัม พูดว่า “ได้สิ เราก็เอาเงินค่าขนมของพวกเรารวมกัน แล้วนำไปซื้อผ้าสวย ๆ สักผืนหนึ่ง”

ฟาติมะห์ พูดว่า “แม่ของฉันเป็นช่างเย็บผ้า ให้แม่เย็บให้ก็ได้”

หนูน้อยต่างคนก็ดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ผ้าคลุมไหลของขวัญสำหรับคุณตาฮามีดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนูๆ ก็เตรียมของขวัญลงในกล่อง

‘ของขวญั’ทีส่วยงาม

WOMEN&YOUTH

อย่างสวยงาม วันรุ่ ง เช้ าหนูน้ อยทั้ งหมดก็

ค่อยๆ เดินย่องเบา ๆ เข้ามาหาคุณตาฮามีด แล้วนำของขวัญที่เตรียมไว้สอดไว้ใต้แขนของคุณตาฮามีด แล้วต่างก็วิ่งเข้าไปในโรงเรียน

บอ บอ ฮามีด เมื่อได้เปิดกล่องของขวัญก็ได้พบว่าข้างในนั้นมีผ้าคลุมไหล่ที่น่ารักและสวยงาม แล้วพูดว่า “ขอบใจมากหนูๆ ที่น่ารักของฉัน” บอ บอ ฮามีด ได้นำผ้าผืนนั้นนำมาคลุมไว้ที่ไหล แล้วหมกมุ่นกับงานของตัวเองต่อ

หลังจากวันนั้นคุณตาฮามีดของพวกหนูๆ ก็ไม่หนาวสั่นจากอากาศที่หนาวเย็นอีกเลย

โดย : ว่านสี่ทิศ

สถาบันการศึกษาดารุซซะรอฮ์ (อ.) จ.พัทลุง เปิดรับสมัครนักเรียนที่มีความต้องการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย (ม.1 และ ม.4 ) ซึ่งเปิดหลักสูตร วิชา ศาสนาตามแนวทางชีอะห์อิมามียะฮ์ และควบคู่กับสามัญ เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันที่ 15 เมษายน ถึง 30 พฤษภาคม

รบัสมคัร‘นกัเรยีนใหม’่ สถาบันการศึกษาดารุซซะรอฮ์

ติดต่อได้ที่ : เชคอันศอร เหล็มปาน โทรศัพท์ 074687482 หรือ 084-334-1000

อิมามียะฮ์ เจอร์นัล จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือร่วมแรงของพี่น้องผู้ศรัทธา ผู้สนใจสนับสนุนสามารถบริจาคได้ที่บัญชีธนาคารข้างต้น

หรือ สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 074-799141

Page 16: Imamiyah Journal 02

�� ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552

Special Interview

ศึกษาวิชาการศาสนา ไม่ขึ้นกับรัฐ 4. ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของคน

ยุคสมัยใหม่ในเรื่องของวิชาการ และวิชาการต่างๆ ทางศาสนาที่สั่งสมไว้ของศูนย์กลางต่างๆแห่งวิชาการศาสนาอิสลาม

5. สร้างความเป็นมาตรฐาน และยกระดับใ น เ รื่ อ ง ข อ ง จ ำ น ว น แ ล ะ คุ ณ ภ า พ ภ า ย ใ ต้กระบวนการการศึกษาวิชาการ ค้นคว้าวิจัย และในทางวัฒนธรรม

6. ปกป้องเกียติยศศักดิ์ศรี ของนักศึกษาวิชาการศาสนา

7. ส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยถึงแก่นแท้แห่งวชิาการ และอบรมครบูาอาจารยข์องสถาบนัตา่งๆ การทำงานจนถึงขณะเป็นอย่างไรบ้าง

จนถึงขณะนี้ญามิอะตุลมุศตอฟาฯ มีนักศึกษาร่วม 33,000 คนทั้งชายและหญิง จากนานาประเทศ 108 ประเทศทั่วโลกและมีนักศึกษาที่จบการศึกษาแล้วกว่า 13,000 คน และกำลังปฏิบัติการสั่งสอนวิชาการศาสนาอยู่ตามศูนย์กลางวิชาการ ศูนย์การวิจัยค้นคว้า และวัฒนธรรมทั่วโลก ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 18,000 คนที่กำลังศึกษาวิชาการศาสนาในสาขาแขนงต่างๆอยู่ในสถาบันต่างๆ ขององค์การญามิอะตุลมุศตอฟาฯ ทั้งในและนอกประเทศ มีสาขาที่ไหนบ้าง

ญามิอะตุลมุศตอฟาฯ มีจุดสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองกุม ประเทศอิหร่าน และมีสาขาย่อยในประเทศตามภูมิภาคต่างๆ เช่น เตหะราน มะห์ชัด กุรฆอน และอิสฟาฮาน และมีตัวแทนขององค์การอยู่ตามประเทศต่างๆ อีก 65 ประเทศทั่วโลก จะติดต่อกับองค์การได้อย่างไร

ผู้ที่มีความประสงค์จะเข้ารับการศึกษาวิชาการกับองค์การญามิอะตุลมุศตอฟาฯ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศอิหร่านหรือประเทศอื่นๆ ที่ขึ้นกับองค์การ เกณฑ์การรับสมัครก็เหมือนกับการรับสมัครนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยโดยทั่วไปตามมาตรฐานนานาชาติ นั่นคือต้องผ่านการจบการศึกษาในขั้นต้นเสียก่อนอย่างน้อยจบมัธยมปลาย ทางองค์การรับนักศึกษาโดยทั่วไปเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก และจนถึงขั้นผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัย (อิจญติฮาด) ส ถ า บั น ศึ ก ษ า ใ น ค ว า ม ดู แ ล ข อ งองค์การและนักศึกษาที่อยู่ภายใต้การดูแลมีจำนวนเท่าใด

ปัจจุบันองค์การฯ มีสถาบันการศึกษาอยู่ที่อยู่ในความดูแลกว่า 100 สถาบันทั้งในและนอกประเทศ และมีนักศึกษาที่กำลังศึกษาในคณะมนุษศาสตร์ มากกว่า 65 แขนงสาขา ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และ ปริญญาเอก และในบางสาขามีการเรียนการสอนทางไกลเป็นภาษาอาหรับและอังกฤษอีกด้วย ทั้งนี้องค์การฯ มีวิทยาลัยอิสลาม และเปิดสอนวิชาการศาสนาอิสลามในหลายประเทศทั่วโลก อาธิเช่น อังกฤษ ,เยอรมัน, อินโดนีเซีย, กาน่า, คองโก, เลบานอน, ซีเรีย, อินเดีย, ปากีสถาน, บางประเทศในทวีปแอฟริกา และในทวีปเอเชีย อีกด้วย

หนา้ทีข่อง ‘องคก์รญามอิะตลุมศุตอฟา อัลอาละมียะฮ์’ คืออะไร

พณฯ อายาตลุเลาะฮ ์ซยัยดิ อะล ีคอมาเนอ ีผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวว่า “ภาระขององค์การที่ยิ่งใหญ่นี้ คือ ต้องผลิตผู้รู้ในวิชาการศาสนาอิสลามที่ ได้มาตรฐานและมีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่กระหายอยากรู้ในเรื่องราวของอิสลามที่แท้จริง โดยสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ในวิชาการแห่งอิสลามและเผยแพร่ชี้นำในเรื่องของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานไปทั่วทุกแห่งในโลกนี้” จุดกำเนิดขององค์การมีที่มาอย่างไร

องค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์) คือของฝากอันล้ำค่าที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ได้มอบไว้ องค์การนี้เป็นการรวมตัวกันของสององค์กรการศึกษาวิชาการศาสนานานาชาติที่ยิ่งใหญ่ คือ “องค์กรศึกษาวิชาการศาสนาในต่างประเทศ” และ “องค์กรกลางการศึกษาวิชาการศาสนานานาชาติ” และการได้รับมาของคุณประโยชน์ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันปีแห่งองค์กรการศึกษาศาสนาอิสลามบวกกับประสบการณ์และเทคนิคต่างๆร่วมยุคสมัย พร้อมกับมีการเรียกร้องจากผู้ที่สนใจใคร่เรียนรู้วิชาการเหล่านั้นจากนานาประเทศ โดยเฉพาะภายหลังจากการปฏิวัติอิสลามในประเทศอิหร่านได้รับชัยชนะ องค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ (ญามิอะ ตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์) จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคำสั่งจากพณฯ อายาตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อะลี คอมาเนอี เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมานี้เอง และมีหน่วยงานการทำงานทั้งในประเทศอิหร่านและในต่างประเทศ ภาระกิจและหน้าที่คืออะไร

ภาระกิจและงานที่ได้รับมอบหมายขององค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ คือเผยแพร่และนำเสนอ ศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ซึ่งอยู่วางอยู่บนรากฐานวิชาการแห่งพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และอะห์ลุลบัยต์ (อ.) โดยวิธีการฝึกอบรมให้เป็นผู้ชำนาญการในวิชาการศาสนาอิสลาม, นักค้นคว้าวิจัย, นักเผยแพร่, อาจารย์วิชาการสาขาแขนงต่างๆ รวมถึงผู้บริหารให้เป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ที่อยู่ในการรักษาสัญญา และทันสมัย โครงสร้างขององค์การ

ญามิอะตุลมุศตอฟาฯ คือองค์การแห่งการศึกษาทางวิชาการศาสนาอิสลาม เป็นองค์การที่มีสารัตถะอย่างเป็นทางการ และไม่ได้ขึ้นกับรัฐแต่ประการใด นโยบายโดยรวมขององค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ คือ

1. มีการปฏิบัติที่เป็นทางการ, ชอบด้วยกฏหมาย, ดำเนินการอย่างมีวิธีการและเป็นระบบตามมาตรฐานนานาประเทศ

2. ติดต่อประสานงานกับศูนย์กลางแห่งวิชาการทั่วโลก

3. เป็นองค์การอิสระที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อการ

ฮจุญะตลุอสิลามวลัมสุลมินี มะหด์ ีอะมรี ี ตวัแทนองคก์ารการศกึษาศาสนาอสิลามนานาชาต ิ(ญามอิะตลุมศุตอฟาอลัอาละมยีะฮ)์ ประจำประเทศไทย

และกัน เพื่อร่วมกันยกระดับความสูงส่งของอัลอิสลามและพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานให้สูงส่งยิ่งขึ้น เราขอประกาศความพร้อมในทุกรูปแบบต่อการให้ความร่วมมือในทุกเรื่องแก่พี่น้องมุสลิมในประเทศไทย เรามีความเชื่อว่าด้วยหลักความเชื่อที่เรามุสลิมทังผองมีเหมือนกันคือ พระองค์อัลเลาะฮ์ (ซ.บ) ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า มีกิบลัตเดียวกัน มีพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเล่มเดียวกัน และมีอีกหลายๆประการที่เหมือนๆกัน เรามุสลิมทั้งผองสามารถที่จะร่วมมือร่วมด้วยช่วยกันในระหว่างมัซฮับต่างๆ เพื่อความยิ่งใหญ่ของอิสลามได้อย่างแน่นอน ประเทศไทยในสายตาของท่าน

ใ น ค ว า ม เ ชื่ อ ส่ ว น ตั ว ข อ ง ข้ า พ เ จ้ า ประเทศไทยคือประเทศที่สามารถจะยกระดับขึ้นเป็นแบบอย่างแห่งความสมานฉันฑ์ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแก่นานาประเทศได้ ความมีอิสระเสรีในการเผยแพร่และปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาสำหรับผู้นับถือศาสนาในทุกๆ ศาสนาคือ ความโดดเด่นและยอดเยี่ยมของประเทศสยามเมืองยิ้มแห่งนี้ทีเดียว

ประชาชนชาวไทยคือ ประชาชนที่มีความสนิทสนม มีความเมตตา มี

ข น บ ธ ร ร ม เ นี ย ม ป ร ะ เ พ ณี ที่สวยงาม มีความเป็นมิตร

กับแขกเหรื่อที่เดินทางเ ข้ า ม า เ ยี่ ย ม เ ยื อ น

และมักมีรอยยิ้มให้เห็นอยู่เสมอไม่ว่าจะหันไปทางใดไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม การที่ ข้ าพ เจ้ า ได้มาพ ำ นั ก อ ยู่ ใ น

ประเทศไทยข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

รูจ้กั‘ญามอิะตลุมศุตอฟาอลัอาละมยีะฮ’์กบั

‘องค์การการศึกษาศาสนาอิสลามนานาชาติ’ หรือ ‘ญามิอะตุลมุศตอฟาอัลอาละมียะฮ์’ ชื่อนี้สำหรับหลายคนอาจจะไม่คุ้นหูสักเท่าใด เพราะเป็นองค์กรที่เพิ่งเข้ามามีบทบาทในสังคมมุสลิมเพียงปีกว่า หากแต่ภารกิจขององค์การนั้นยิ่งใหญ่นัก ด้วยเป็นองค์การที่ถูกจัดตั้งภายใต้การดำริของผู้นำสูงสุดแห่งสาธารณะรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ ขอนำท่านไปทำความรู้จักกับองค์การแห่งนี้ผ่าน ‘ฮุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีน เชค มะฮ์ดี อะมีรี’ ตัวแทนองค์การญามิอะตุลมุศตอฟา อัลอาละมียะฮ์ ประจำประเทศไทย ซึ่งได้เปิดให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของ ‘อิมามียะฮ์ เจอร์นัล’ เป็นการเฉพาะ...

มคีวามรว่มมอืกบัสถานศกึษาอืน่หรอืไม ่ ญามิอะตุลมุศตอฟาฯ ได้มีการร่วมกันลง

นามเซ็นสัญญาการทำงานร่วมกันอย่างเป็นทางการกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ระดับโลกในประเทศต่างๆ เช่น อเมริกา แคนาดา อังกฤษ และเยอรมัน อย่างไรก็ตามหลักสูตรการเรียนในทุกๆ สาขาวิชาการขององค์การฯ ทั้งในและนอกประเทศจะต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งวิชาการของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน คือรัฐธรรมนูญของมุสลิมทั่วโลก พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคือคัมภีร์แห่งการดำเนินชีวิต หากมุสลิมเข้าใจและปฏิบัติตามพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พวกเขาก็จะมีความผาสุกทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า เรามีความเชื่อว่ามิไม่เพียงแต่มุสลิมเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากพระมหาคมัภรีอ์ลักรุอาน แตจ่ะมปีระโยชน ์สำหรับประชาคมโลกด้วย สาส์นที่สูงส่งที่สุดของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคือ การสร้างสันติภาพและมิตรภาพแก่ประชาคมโลก ท่ า น ม อ ง ว่ า มุ ส ลิ มควรปฏิบัติตัวอย่างไรในโลกปัจจุบัน

เกียรติยศของมุสลิมในประเทศไทยและมุสลิมทั่วโลกนั้นจะอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งความภราดรภาพและเอกภาพอย่างแน่นอน ในทุกๆ ปีสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้จัดสัมมนาเอกภาพอิสลามขึ้นและในทุกปีจะมีนักวิชาการศาสนาอิสลามทุกมัซฮับ นักคิดนักเขียน จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมสัมนา ซึ่งจะนำค ว า ม ส ม า น ฉั น ท์ระหว่างมัซฮับขึ้นในมวลมุสลิมได้ ทัศนะของท่านต่ อ มุ ส ลิ ม ใ นประเทศไทย

และเรามีความเชื่อว่าในประเทศไทยเ อ ง ก็ เ ช่ นเ ดี ย ว กั น มุ ส ลิ ม ช า วไ ท ย ไ ม่ ว่ าจ ะ อ ยู่ ใ นมัซฮับใดก็จ ำ เ ป็ นต้ อ ง มีค ว า มเ ป็ น พี่น้องซึ่งกั น

‘ฮุจญะตุลอิสลามวัลมุสลิมีน เชค มะฮ์ดี อะมีรี’