Hull’S Systematic Behavior Theory( By Piyawut)

1

ทฤษฎี�การเร�ยนร� ของฮั�ลล� Hull’s Systematic Behavior Theory

2

ฮั�ลล� (Clark L. Hull) เป็�นน�กจิ�ตวิ�ทยาพฤต�กรรมน�ยมท��ม�ชื่ �อเสี�ยงผู้� หน$�งของสีหร�ฐอเมร�กา ม�ชื่&วิงชื่�วิ�ตอย�&ในระหวิ&างป็)ค.ศ.1884 – 1952 และได้ ท/าการทด้ลองทางด้ านจิ�ตวิ�ทยาการเร�ยนร� จินม�ชื่ �อเสี�ยงโด้&งด้�ง

3

การทด้ลองด้�งกล&าวิค อ การทด้ลองโด้ยฝึ2กให หน�กด้คาน โด้ยแบ่&งหน�ออกเป็�นกล4&มๆ แต&ละกล4&มอด้อาหาร 24 ชื่��วิโมง และแต&ละกล4&มม�แบ่บ่แผู้นในการเสีร�มแรงแบ่บ่ตายต�วิต&างก�น บ่างกล4&มกด้คาน 5 คร�6ง จิ$งได้ อาหาร ไป็จินถึ$งกล4&มท��กด้ 90 คร�6ง จิ$งได้ อาหาร และอ�กพวิกหน$�งทด้ลองแบ่บ่เด้�ยวิก�นแต&อด้อาหาร 3 ชื่��วิโมง

4

ป็รากฏวิ&าย��งอด้อาหารมาก ค อม�แรงข�บ่มาก จิะม�ผู้ลให เก�ด้การเป็ล��ยนแป็ลง ค อจิะท/าให การเชื่ �อมโยงระหวิ&างอวิ�ยวิะร�บ่สี�มผู้�สี (Receptor) ก�บ่อวิ�ยวิะแสีด้งออก (Effector ) เข มแข9งข$6น ด้�งน�6นเม �อหน�ห�วิมาก จิ$งม�พฤต�กรรมกด้คานเร9วิข$6น

5

ด้�งน�6น อธิ�บ่ายได้ วิ&า การท��มน4ษย�และสี�ตวิ�จิะเก�ด้การเร�ยนร� ได้ ต องม�แรงข�บ่(Drive) หร อควิามต องการเป็�นต�วิผู้ล�กด้�นให เก�ด้พฤต�กรรม และการลด้แรงข�บ่หร อควิามต องการลง เป็�นการเสีร�มแรงท��จิะท/าให เก�ด้การเร�ยนร� โด้ยท/าให มองเห9นควิามสี�มพ�นธิ�ระหวิ&างสี��งเร าและป็ฏ�ก�ร�ยาตอบ่สีนอง และการเสีร�มแรงจิะท/าให การเร�ยนร� ม�ควิามม��นคงข$6น...

6

B = พฤต�กรรม (Behavior)D = แรงข�บ่ (Drive)H = น�สี�ย (Habit)

B = D x HB = D x H

กฎีการเร�ยนร� ทฤษฎี�ฮั�ลล�กฎีการเร�ยนร� ทฤษฎี�ฮั�ลล�

7

1. กฎีแห&งสีมรรถึภาพในการตอบ่สีนอง

(Law of Reactive Inhibition)

หร อการย�บ่ย�6งป็ฏ�ก�ร�ยา ค อ ถึ าร&างกายเก�ด้ควิามเหน �อยล า การตอบ่สีนองหร อการเร�ยนร� จิะลด้ลง

กฎีการเร�ยนร� ทฤษฎี�ฮั�ลล�กฎีการเร�ยนร� ทฤษฎี�ฮั�ลล�

8

2. กฎีแห&งการล/าด้�บ่กล4&มน�สี�ย (Law of Habit Hierarchy)

เมื่��อมื่�สิ่��งเร้�ามื่ากร้ะตุ้��น แตุ้�ละคนจะมื่�การ้ตุ้อบสิ่นองตุ้�างๆ

ก�น ในร้ะยะแร้กการ้แสิ่ดงออกมื่�ล�กษณะง�าย ๆ ตุ้�อเมื่��อ

เร้�ยนร้ �มื่ากขึ้"#นก$สิ่ามื่าร้ถเล�อกแสิ่ดงการ้ตุ้อบสิ่นองใน

ร้ะด�บที่��สิ่ งขึ้"#น หร้�อถ กตุ้�องตุ้ามื่มื่าตุ้ร้ฐานขึ้องสิ่�งคมื่

กฎีการเร�ยนร� ทฤษฎี�ฮั�ลล�กฎีการเร�ยนร� ทฤษฎี�ฮั�ลล�

9

3. กฎีแห&งการใกล จิะบ่รรล4เป็<าหมาย (Goal Gradient

Hypothesis)เมื่��อผู้ �เร้�ยนย��งใกล�บร้ร้ล�เป้+าหมื่ายเที่�าใดจะมื่�สิ่มื่ร้ร้ถภาพ

ในการ้ตุ้อบสิ่นองมื่ากขึ้"#นเที่�าน�#น การ้เสิ่ร้�มื่แร้งที่��ให�ใน

เวลาใกล�เค�ยงเป้+าหมื่ายจะช่�วยที่0าให�เก�ดการ้เร้�ยนร้ �ได�ด�

ที่��สิ่�ด

การป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการสีอนการสีอน

ค0าน"งถ"งผู้ �เร้�ยนที่��มื่�ร้ะด�บขึ้องการ้แสิ่ดงออกไมื่�เที่�าก�น ในการ้จ�ดการ้เร้�ยนการ้สิ่อน ควร้ให�ที่างเล�อกที่��หลากหลาย เพ��อผู้ �เร้�ยนจะได�สิ่ามื่าร้ถตุ้อบสิ่นองตุ้ามื่ร้ะด�บความื่สิ่ามื่าร้ถขึ้องตุ้น

10

น0าการ้จ�ดการ้เร้�ยนการ้สิ่อน ที่��ควร้ค0าน"งถ"งความื่พร้�อมื่ ความื่สิ่ามื่าร้ถและเวลาที่��ผู้ �เร้�ยนจะเร้�ยนได�ด�ที่��สิ่�ด

การป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการการป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการสีอนเร�ยนการสีอน((ต&อต&อ))

11

การป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการสีอนการสีอน((ต&อต&อ))

การ้จ�ดคาบเวลาเร้�ยนที่��พอเหมื่าะแก�ว�ยขึ้องผู้ �เร้�ยน

เป้ล��ยนก�จกร้ร้มื่การ้สิ่อน เมื่��อพบว�าผู้ �เร้�ยนเหน��อยล�าหร้�อง�วงนอน

12

ให�การ้เสิ่ร้�มื่แร้งที่�กขึ้�#นตุ้อนขึ้องบที่เร้�ยนในช่�วงที่��ใกล�เค�ยงก�บเป้+าหมื่ายมื่ากที่��สิ่�ด และการ้บอกผู้ลการ้เร้�ยนก$เป้2นการ้เสิ่ร้�มื่แร้งอย�างหน"�ง จะช่�วยที่0าให�ผู้ �เร้�ยนเก�ดการ้เร้�ยนร้ �ได�ด�

การป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการการป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการสีอนเร�ยนการสีอน((ต&อต&อ))

13

การป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการการป็ระย4กต�ในการจิ�ด้กระบ่วินการเร�ยนการสีอนเร�ยนการสีอน((ต&อต&อ))

14

15

สีร4ป็สีร4ป็หล�กการทางจิ�ตวิ�ทยาทฤษฎี�การเร�ยน

ร� ของฮั�ลล� ได้ เข ามาม�สี&วินสี/าค�ญในการกระบ่วิน

การจิ�ด้การเร�ยนร� ของคร�ผู้� สีอนฉะน�6นจิ$งถึ อได้ วิ&าผู้� สีอนจิะ

ต องตระหน�กถึ$งควิามสี/าค�ญของจิ�ตวิ�ทยาการศ$กษาเป็�นอย&างย��ง

สีวิ�สีด้�คร�บ่สีวิ�สีด้�คร�บ่16