Top Banner
12

Foodstylist issue 58

Mar 29, 2016

Download

Documents

 
Welcome message from author
This document is posted to help you gain knowledge. Please leave a comment to let me know what you think about it! Share it to your friends and learn new things together.
Transcript
Page 1: Foodstylist issue 58
Page 2: Foodstylist issue 58

52 foodstylist 53 foodstylist

Kingfish Sashimi Salad with

Avocado, Romaine, Radish &

Seaweed with Sesame

น้ำสลัดญี่ปุ่น

ส่วนผสม

ซีอิ๊วขาวออร์แกนิกของญี่ปุ่น 50 มล. / น้ำมัน

ดอกทานตะวัน 50 มล. / น้ำมันงา 5 มล. /

น้ำส้มสายชูออร์แกนิกสกัดจากแอปเปิ้ล 50 มล.

/ พริกไทยบด 1 กรัม / ผงมัสตาร์ด 5 กรัม /

น้ำตาลปี๊บ 30 กรัม / น้ำเปล่า 15 กรัม /

หอมหัวเล็กสับละเอียด 1 หัว / พริกแห้ง 2 เม็ด

วิธีทำ

1. ล้างหอมหัวใหญ่แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้น

เคี่ยวน้ำตาลปี๊บกับน้ำเปล่า

2. เคี่ยวน้ำตาลปี๊บกับน้ำสะอาดให้ละลายเป็น

เนื้อเดียวกัน จากนั้นใส่น้ำส้มสายชูลงไป

คนให้เข้ากัน ยกขึ้นพักไว้

3. นำน้ำตาลปี๊บที่เคี่ยวกับน้ำส้มไว้แล้วมาผสม

กับส่วนผสมอื่นๆ ทั้งหมด ยกเว้นน้ำมัน

4. ขั้นตอนสุดท้าย ค่อยๆ หยดน้ำมันลงไปอย่าง

ช้าๆ

ส่วนผสมผักสลัดในจาน

Kingfish สไลซ์ 60 กรัม / อะโวคาโดหั่น

พอดีคำ 1/2 ลูก / แตงกวาสไลซ์ 6 แผ่น /

หอมหัวใหญ่สไลซ์เป็นวง 3 ชิ้น / ผักโรเมน 1

หัวเล็ก / แรดิชสไลซ์ 1 ลูก / สาหร่าย 30 กรัม

/ ส้มหั่นซีก 1/4 ลูก / งาคั่ว 2 กรัม / พริกเล็ก

1 เม็ด / ดิลล์ 1/8 ช่อ / ผักชี 1/8 ช่อ /

น้ำสลัดญี่ปุ่น / ขิงซอย 20 กรัม

วิธีทำ

วางส่วนผสมทั้งหมดลงในจาน แล้วราดด้วย

น้ำสลัดญี่ปุ่น จากนั้นตกแต่งด้วยเมล็ดงาและ

สาหร่ายแห้ง

words apiradee v. photographs phaitoon

chefs we loveTASTING

Kingfish Sashimi Salad with Avocado, Romaine,

Radish & Seaweed with Sesame Healthy Cooking for a Healthy Life

by Chef Christopher Miller

ชวนชิมเมนูเด็ดจานนี้ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อร่อยได้อรรถรสนี้ มีชื่อว่า Kingfish Sashimi Salad หนึ่งใน

เมนูเพื่อสุขภาพที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นสดใสและบำรุงสมอง จากห้องอาหารโกลว์ โรงแรมเมโทรโพลิแทน

กรุงเทพฯ ที่ให้ความสำคัญกับการทำอาหารในรูปแบบ Slow Cook ที่เน้นปรุงอาหารแบบไม่เร่งรีบ

เพื่อให้ได้รสชาติแท้ของอาหารที่ดีที่สุด โดยเชฟคัดสรรวัตถุดิบอย่างดีจากพืชผัก และเนื้อสัตว์

ออร์แกนิกปลอดสารอัดแน่นด้วยคุณภาพมาเสิร์ฟให้เราทุกจาน

สำหรับเจ้าคิงฟิชตัวโตๆ ของที่นำเข้าจากออสเตรเลีย เสิร์ฟเป็นซาชิมิแล่บาง ส่วนผักสลัดออร์แกนิก

หรือผลไม้ก็ล้วนแต่รับประทานกันสดๆ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุเต็มๆ

ซึ่งต้องยกเครดิตความอร่อยให้กับ “เชฟคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์” เชฟมือฉมังชาวออสเตรเลีย พ่อครัว

ใหญ่ประจำห้องอาหารโกลว์ พ่วงตำแหน่งเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟของโรงแรมเมโทรโพลิแทน กรุงเทพฯ

ซึ่งบรรจงรังสรรค์เมนูนี้โดยคำนึงถึงสุขภาพของผู้รับประทานเป็นสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้ เชฟ

คริสโตเฟอร์มีโอกาสได้ร่วมงานกับโคโม แชมบาลา เอสเตต ที่บาหลีนานถึง 6 ปี เน้นบริการอาหาร

เพื่อสุขภาพ ซึ่งที่นี่เป็นอีกหนึ่งพร็อพเพอร์ตี้ของโรงแรมเมโทรโพลิแทน กรุงเทพฯ ศาสตร์การ

ปรุงอาหารเพื่อสุขภาพจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเชฟหนุ่มผู้นี้มาโดยตลอด

เชฟคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ เติบโตที่ซิดนีย์และผูกพันด้านการทำอาหารมากว่า 18 ปี ตอนอยู่

มหาวิทยาลัย เชฟคริสโตเฟอร์เรียนมาทางด้านคอมเมอร์เชียล แต่รู้สึกไม่เป็นตัวเอง อยากสร้างสีสัน

ให้ชีวิตด้วยการหาอะไรใหม่ๆ ทำที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ จึงตัดสินใจไปศึกษาดูงานอาหารจริงจัง

เชฟคริสเคยมีประสบการณ์ทำงานในภัตตาคารที่ซิดนีย์มา ไม่ว่าจะเป็น Rockpool, Wockpool,

Parrot Cay หรือ COMO Shambhala Estate in Bali ที่กล่าวไปทีแรก ตั้งแต่นั้นเขาก็หลงรักการ

ทำอาหารแบบถอนตัวไม่ขึ้น

“จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา แม้ผมจะทำงานไกลบ้านมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าท้อ

หรือลำบาก เนื่องจากแรงจูงใจสำคัญในการทำงานของผมคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน

ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการก้าวไปข้างหน้า”

เชฟคริสโตเฟอร์กล่าวว่า การจะเป็นเชฟได้นั้นต้องสามารถปรุงอาหารได้ทุกประเภท ยิ่งเป็น

เอ็กเซ็กคูทีฟเชฟด้วยแล้ว จะต้องบริหาร ควบคุมดูแล ระบบงานแผนกครัวทั้งหมด เชฟต้อง

ดูแลอาหารไทยในส่วนของห้องอาหารน้ำด้วย จึงได้ทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารไทย และอื่นๆ ด้วย

สำหรับ Kingfish Sashimi Salad จานนี้ ยังรอคอยนักชิมให้มาพิสูจน์รสชาติความอร่อย

ที่เตรียมได้ง่ายๆ ส่วนผสมก็หาได้ไม่ยาก อย่างหลักการที่เชฟคริสยึดถือมาตลอดอย่าง “Simply

prepared, well sourced ingredients”

Simply prepared, well sourced ingredients

Chef Christopher Miller

Page 3: Foodstylist issue 58

54 foodstylist 55 foodstylist

Kingfish Sashimi Salad with Avocado, Romaine, Radish & Seaweed with Sesame by Chef Christopher Miller

Salmon Wrapped in Pandan Leaf and Couscous

by Chef Mini C.

Page 4: Foodstylist issue 58

57 foodstylist56 foodstylist

Salmon Wrapped in Pandan Leaf and Couscous

Food Fit & Healthy Low Fat by Chef Mini C.

เบื้องหลังเทคนิคการปรุงอาหารที่ไม่เหมือนใคร แต่ยังคงรสชาติความอร่อยไว้อย่างลงตัวนี้ ได้จาก

คุณโอบอุ้ม จูตระกูล หรือเชฟมินี่ ซี เป็นที่ปรึกษาทางด้านอาหารและโภชนาการของเอส ควิซีน

ณ เอส เมดิคอลสปา และวางคอนเซปต์อาหารที่นี่ทุกจาน ในสไตล์ “อิ่มอร่อย พร่องแคลอรี”

เชฟมินนี่ ซี ชอบลองชิมโน่นชิมนี่ไปเรื่อยและชอบความท้าทาย แถมตั้งแต่รุ่นคุณย่า-ยายยังเป็น

มือฉมังด้านอาหารอยู่แล้ว ทำให้เธอเห็นและเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่นมาก แต่จะว่าไปแล้ว จุดเริ่มต้นการ

ทำอาหารมาจากเห็นเพื่อนเชฟฝรั่งที่มีชื่อเสียงหลายคนสนใจอาหารไทยบวกกับเห็นรายการทีวีของ

อังกฤษ ที่กำลังสาธิตอาหารไทยแบบไม่ถูกขนบนัก เธอเลยเขียนแจ้งไปที่สถานีว่า หากต้องการคำ

แนะนำเกี่ยวกับอาหารไทยเธออาสาจะเป็นที่ปรึกษาให้ฟรี จากนั้นมาปี 2539 เธอได้รับเลือก

เป็นประธานสมาคมร้านอาหารไทยในประเทศอังกฤษ โดยอาศัยอาหารไทยเป็นสื่อกลาง ไม่เพียงแค่นั้น

เธอยังเคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรายการเอสเซนเชียลไทยอินกรีเดียน ช่องเคเบิลยอดนิยมของ

อังกฤษ และยังเขียนหนังสือตำราอาหาร 100 สุดยอดเมนูอาหารไทย วางจำหน่ายทั่วโลกมาแล้ว

“ช่วงนั้นเธอก็ลงมือสอนฝรั่งทำอาหารไทยด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าเราสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี

และง่ายกว่ากว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์ ความรู้ของเราได้จากการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก นิยาม

คำว่าเชฟไม่ได้เป็นได้เพียงชั่วข้ามคืน ก่อนจะมาเป็นเชฟ ก็จะต้องเป็นหัวหน้าในครัวก่อน เพราะถ้า

เราไม่เข้าใจเพื่อนร่วมงาน ก็จะทำงานลำบาก ที่เรามายืนจุดนี้ได้เพราะรักในอาชีพที่ทำ ได้ดูแลซึ่งกัน

และกัน”

แม้ไม่ได้จบด้านอาหารโดยตรง แต่เธอบอกว่ามันทำให้เราเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น อย่างการเซอร์วิส

ว่าเราต้องรับมือกับลูกค้ายังไง เธอมองว่าการทำอาหารเป็นอาร์ต ไม่มี ใครผิดใครถูก

แต่สิ่งสำคัญคือการเลือกวัตถุดิบที่ดีในการปรุง ตอนทำก็ต้องคำนึงถึงผู้บริโภคด้วย

“ธุรกิจอาหารต้องคิดให้ลึก หาทางไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ใช่คิดเพื่อแก้ปัญหา การทำงานก็เหมือนโซ่

ถ้าทุกวันไขโซ่ให้มันแน่น ทุกด้านก็จะแน่น คนเราถ้าไม่เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด ถือว่าโง่ เจ็บแล้วไม่

จำ แค่เพียงเราเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด และเปิดใจรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ ก็จะไม่มีใครตามเราได้ทัน”

พบกับศิลปะการปรุงรสอาหารที่มีปริมาณแคลอรีต่ำ ไขมันน้อย กับเมนูปลาแซลมอนห่อใบเตย

เสิร์ฟพร้อมคูสคูส แต่ยังคงมีรสชาติดี คัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติ คูสคูสที่ทำวันนี้จะนำไปผสมกับ

ซอสเพสโต้ ในรูปแบบของมะเขือเทศตากแห้งชุ่มฉ่ำด้วยน้ำมันมะกอก แล้วนำไปปั่นรวมกับพายนัท

เรามั่นใจว่าคุณไม่เคยได้ลองที่ไหน ส่วนผักเขียวที่เชื่อกันว่ารับประทานแล้วไม่เจ็บป่วยมีเรี่ยวมีแรง

จานนี้เขาก็ไม่ขาด การันตีว่ารับประทานแล้วได้สารอาหารครบ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ไขมัน

คาร์โบไฮเดรต หรือน้ำมันปลาโอเมก้า 3 สารอาหารบำรุงสมอง พูดถึงประโยชน์มาเยอะแล้ว ทีนี้ถึง

เวลาเปิดเผยเคล็ดลับ ที่ไม่ลับกันแล้ว

Chef Mini C.

ส่วนผสมในการทำปลาแซลมอนห่อใบเตย

ปลาแซลมอนดิบหั่นเต๋าใหญ่ ตัดให้ได้ 5 ชิ้น (น้ำหนักไม่รวมหนัง) 130 กรัม / งาขาวคั่ว

1 ช้อนชา / ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ / น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ / พริกไทยดำป่นหยาบ

1 ช้อนชา / ใบเตย (ล้างสะอาดและเช็ดให้แห้ง) 5 ใบ

Salmon Wrapped in Pandan Leaf and Couscous

ส่วนผสมในการทำคูสคูส

คูสคูสเม็ดละเอียด 100 กรัม / น้ำร้อน 3/4

ถ้วยตวง / พริกขี้หนูแห้ง 5 เม็ด / หนังปลา

แซลมอน (ที่เลาะออกจากเนื้อปลา คลุกเกลือ

พริกไทยตามชอบ เข้าเตาอบอุณหภูมิที่ 200

องศาฯ เป็นเวลา 6 นาที ) / Sun-dried

Tomato Pesto แบบเค็มในน้ำมันมะกอก 100 กรัม /

แครอตหั่นเต๋าเล็ก 40 กรัม / ก้านและดอก

บรอกโคลี่หั่นชิ้นเล็ก 30 กรัม / เนื้ออะโวคาโด

หั่นเต๋าเล็ก 1/2 ลูก / เกลือ เล็กน้อย

สำหรับตกแต่ง

มะนาวเหลือง 1 ซีก / พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย

เล็กน้อย

วิธีทำ

1. ผสมงาขาวคั่ว ซีอิ๊วขาว น้ำมันมะกอก และ

พริกไทยดำป่นหยาบรวมกันในชามที่เตรียมไว้

2. นำปลาแซลมอนดิบหั่นเต๋าลงไปคลุกเคล้า

กับเครื่องปรุงที่ผสมไว้ให้เข้าเนื้อและพักไว้

3. นำใบเตยมาห่อปลาแซลมอน ใช้วิธีห่อ

ตามถนัดให้ปิดเนื้อปลาอย่างมิดชิด และใช้

ไม้กลัดให้แน่น

4. นำปลาแซลมอนห่อใบเตยใส่ถาดเข้าอบ

ในเตาอบที่เปิดเตรียมไว้แล้ว อุณหภูมิ 180

องศาฯ และอบประมาณ12-15 นาที โดยวาง

ถาดไว้ชั้นกลาง

5. ลวกบรอกโคลี่และแครอตหั่นเต๋าในน้ำเดือด

ที่ใส่เกลือไว้เล็กน้อย ตักขึ้นราดด้วยน้ำเย็นและ

พักไว้

6. เทน้ำร้อนลงในคูสคูสที่ เตรียมไว้ในชาม

หาภาชนะปิดและทิ้งไว้ประมาณ 90 วินาที เมื่อ

คูสคูสได้ที่ให้ใช้ช้อนเกลี่ยให้คูสคูสกระจายไม่ติด

กันเป็นก้อน

7. ใส่ Sun-dried Tomato Pesto ลงในคูสคูส

และคลุกเคล้าให้ทั่ว จากนั้นใส่เกลือ พริกไทย

พอประมาณและคลุกให้เข้ากัน เติมบรอกโคลี่

แครอต อะโวคาโดหั่นเต๋า และพริกแห้ง

ฉีกหยาบ คลุกให้ทั่ว (พยายามอย่าบี้เพราะจะ

ทำให้อะโวคาโดเละ)

8. นำปลาแซลมอนที่อบไว้ใส่จานพร้อมด้วย

คูสคูสและโรยพริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย เสิร์ฟด้วย

หนังปลาแซลมอลกรอบและมะนาวเหลือง

Page 5: Foodstylist issue 58

72 foodstylist

DESIGN & LIFESTYLE

73 foodstylist

ชั่วโมงไว้ที ่ 150 องศาเซลเซียส พอจะอบจริงให้

ลดอุณหภูมิลงเหลือ 120 องศาเซลเซียส วิธีนี้

จะทำให้กรอบนอกนุ่มในครับ อบประมาณ 1

ชั่วโมง 20 นาที เสร็จแล้วปิดเตา แล้วทิ้งตัว

PAVLOVA ไว้ในเตาอย่างนั้น ประมาณ 6-8

ชั่วโมง เพื่อให้ด้านนอกแห้งกรอบ

เวลารับประทานก็ตักโยเกิร์ตรสธรรมชาติผสม

กับน้ำผึ้ง ปริมาณก็แล้วแต่ความชอบเลยครับ

เทลงไปบน PAVLOVA หลังจากนั้นก็อยู่ที่ฝีมือ

การตกแต่งของแต่ละคนแล้วครับ ค่อยๆ วาง

เบอร์รี่นานาชนิดลงไปครับ ความหวานของ

CHOCOLATE PAVLOVA ที่กรอบนอกแล้ว

นุ่มใน ตัดกับความเปรี้ยวของเบอร์รี่ รสชาติ

อร่อยอย่าบอกใครครับ

__________________________________

เชฟนนพร้อมตอบทุกคำถามใน foodstylist

fanpage

สวัสดีปีใหม่ครับ ปีใหม่กับคอลัมน์ใหม่และ

ผู้เขียนหน้าใหม่ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน

เลยครับ ผม นน ครับ ขอโอกาสรับหน้าที่

ที่จะพาคุณผู้อ่านมารู้จักกับของหวานที่

ทุกคนชื่นชอบ ของหวานที่ผมได้ไปพบ

เจอมาจากสถานที่และโอกาสต่างๆ และ

รู้สึกประทับใจในหน้าตาและรสชาติของเขา

นำมาถ่ายทอดในแบบฉบับของผมเอง

ที่สำคัญต้องสวย เก๋ และอร่อยจนลืม

ไม่ลง ผ่านคอลัมน์ chic dessert ครับ

สำหรับช่วงเวลาพิเศษของปีแบบนี้ คงไม่มี

อะไรจะดีไปกว่าการได้รับประทานของหวานที่

ดีต่อสุขภาพ เพื่อเป็นการ refresh ร่างกาย

ของเราเองให้สดชื่น พร้อมที่จะรับสถานการณ์

ทุกรูปแบบที่จะตามมาในปีนี้ครับ นั่นไงละ

ไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจาก

CHOCOLATE PAVLOVA FRESH BERRIES

Pavlova คือ ขนมประเภท Meringue ครับ

ตั้งชื่อตามนักบัลเลต์ชื่อก้องโลกชาวรัสเซีย

Anna Pavlova สำหรับความแตกต่างระหว่าง

Meringue กับ Pavlova อยู่ตรงที่ Pavlova

จะมีการใส่น้ำส้มสายชูลงไป ซึ่ งจะทำให้

เนื้ อของเขากรอบนอกนุ่ ม ในเหมือนเรา

รับประทาน Marshmallow ครับ เวลา

รับประทานก็จะรับประทานพร้อมกับโยเกิร์ต

และเบอร์รี่สดๆ ครับ วิธีทำไม่ยากเลยครับ

เมนูนี้ถ้าใครไม่ชอบรับประทานแป้งก็เหมาะเลย

เพราะไม่มีแป้งเลย ผมได้เพิ่มโกโก้เข้าไปด้วย

เพราะโกโก้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

ป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจครับ อีกทั้งช่วยให้

อารมณ์ดีอีกด้วย โยเกิร์ตผสมกับน้ำผึ้งอุดมไป

ด้วยแคลเซียมและวิตามินสูงช่วยบำรุงผิว

ส่วนเบอร์รี่ก็มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้าง

ภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เหมาะกับการรับประทาน

เพื่อ refresh ร่างกายเป็นที่สุดครับ

words & styling chef non photographs wannasak sirisab

DESIGN & LIFESTYLE

chic dessert

Pamper yourself with CHOCOLATE PAVLOVA FRESH BERRIES

CHOCOLATE PAVLOVA FRESH

BERRIES

ส่วนผสม

ไข่ขาว (จากไข่เบอร์ 2) 3 ฟอง / น้ำตาลทราย

ละเอียด 110 กรัม / น้ำตาลไอซิ่ง 30 กรัม /

ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ / น้ำส้มสายชู 1/2 ช้อนชา

/ ช็อกโกแลตชิป 25 กรัม / โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

1 ถ้วย / น้ำผึ้ง ปริมาณตามความชอบ

ขั้นตอนการทำ

เริ่มแรกเรามาทำตัว PAVLOVA กันก่อนครับ

โดยแยกไข่ขาวไข่แดง เอาเฉพาะไข่ขาวใส่ลง

เครื่องตี เริ่มจากความแรงแบบเบาๆ ก่อนตีจน

ไขข่าวเริม่เปลีย่นเปน็ฟองคลา้ยๆ ฟองสบู ่กค็อ่ยๆ

เพิ่มความแรง นำไอซิ่งมาร่อน แล้วผสมกับ

น้ำตาลทราย แล้วก็ค่อยๆ ใส่ลงไปโดยแบ่ง

การใส่น้ำตาลเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกใส่ตอน

ไข่ขาวเปลี่ยนจากของเหลวกลายเป็นฟอง ส่วน

ที่สองใส่ตอนที่ไข่ขาวฟูกลายเป็นโฟมละเอียด

ส่วนที่สามใส่ตอนไข่ขาวใกล้จะตั้งยอดครับ ตีจน

ไข่ขาวเพิ่มปริมาตรสูงสุด (สังเกตได้จากเวลายก

หัวตีออกมาแล้วไข่ขาวจะกลายเป็นยอดแหลม

ติดหัวตี) จุดนี้สำคัญนะครับ เพราะถ้าไม่ตั้งยอด

PAVLOVA จะไม่ฟูนุ่มครับ หลังจากนั้นก็ร่อนผง

โกโก้ลงไป ต้องร่อนนะครับไม่เช่นนั้นอาจจะรู้สึก

ถึงก้อนโกโก้เวลารับประทานได้ แล้วตามด้วย

น้ำส้มสายชูใช้พายยางค่อยๆ ตะล่อมส่วนผสม

ให้เข้ากัน ปิดท้ายด้วยการโรยช็อกโกแลตชิป

ลงไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติช็อกโกแลต

แล้วผสมให้เข้ากันครับ

นำกระดาษไขมาวาดรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าน

ศูนย์กลาง 18 ซม. แล้วกลับด้านกระดาษ

เทส่วนผสม PAVLOVA ลงไปกลางวง ใช้ที่ปาด

เค้กอันเล็ก พยายามปาดให้ด้านข้างโค้งกลม

ตามรอยดินสอที่วาดไว้ ส่วนด้านบนปาดให้เรียบ

ครับ หรือใครชอบแนว rustic หน่อยก็ free

form ได้เลยครับ อิสระตามใจชอบ หลังจากนั้น

นำเข้าอบ โดยวอร์มเตาอบไว้ก่อนประมาณครึ่ง

Page 6: Foodstylist issue 58

19 foodstylist19 foodstylist

ประเดิมศักราชใหม่ได้ไม่กี่วัน ใครยังมีอาการแฮงก์

เก็บตกมาจากปาร์ตี้อำลาปีเก่า หรือหงอยเหงา

หมดแรงกายแรงใจเมื่อนึกถึงงานกองโตที่คอยท่า

อยู่ตั้งแต่ต้นปี foodstylist ฉบับนี้ เห็นสมควรว่า

พวกเราเหล่าฟู้ดดี้ควรลดละเลิกพฤติกรรมไม่น่า

กดไลค์ดังกล่าว และหันมาถือฤกษ์งามยามดีนี้

ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองให้กลายเป็นคนใหม่ที่ไฉไล

กว่าเก่า และชาร์จพลังร่างกายและจิตใจให้เต็มเปี่ยม

กันอีกครั้งดีกว่าโดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิถี

การรับประทานให้ถูกต้องตามครรลองของคนรัก

สุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกปฏิบัติกันหลากหลาย

ศาสตร์ หลากหลายทฤษฎี แต่ที่ฮอตฮิตติดชาร์ต

รับประทานแล้วได้ประโยชน์ ได้พลังกันเต็มเปี่ยม

ก็ต้องเป็นวิธีที่เราคัดสรรมาเสิร์ฟให้คุณดังต่อไป

นี้ค่ะ

หยนิ-หยาง มติิใหมแ่หง่การกนิเพือ่สขุภาพ

หากพดูถงึวถิกีารกนิเพือ่สขุภาพแลว้ละก ็ หลกัการพืน้ฐาน

ที่เรามักจะได้ยินจนคุ้นหูก็คงหนีไม่พ้นการรับประทาน

อาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่คุณรู้ไหมคะว่า ในความเป็นจริง

แล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดสมดุล

ของร่างกาย หรือการรับประทานแบบหยิน-หยางใน

แบบของคนจีนนั้นก็สำคัญไม่น้อยเช่นกัน โดย หยิน

หมายถึง อาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วให้ความรู้สึก

เย็น มีรสชาติเปรี้ยว เค็ม และขม รวมไปถึงอาหาร

ประเภทต้ม ตุ๋น และนึ่ง ส่วน หยาง หมายถึง อาหารที่

รับประทานเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกร้อน มีรสชาติเผ็ด

หวาน รวมไปถึงอาหารประเภททอด ย่าง และรมควัน

สำหรับวิธีการเลือกรับประทานแบบหยิน-หยางนั้นก็ยึด

หลักง่ายๆ คือ ไม่ควรรับประทานแป้งกับอาหารที่มี

น้ำตาลหรือมีฤทธิ์เป็นกรดสูง รวมทั้งควรรับประทาน

อาหารที่มีน้ำตาลสูง ไขมันสูง และอาหารที่มีฤทธิ์เป็น

กรดจำพวกผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลายร่วมกับอาหาร

ประเภทโปรตีน และที่ลืมไม่ได้เลยคือควรลดละเลิก

การรับประทานของหวานปิดท้ายมื้อ เพราะจะทำให้

ระบบย่อยอาหารทำงานได้ช้าลงค่ะ

ส่วนข้อดีในการยึดหลักการรับประทานแบบหยิน-หยาง

นั้นนอกจากจะทำให้คุณมีหุ่นสวย สมาร์ท และช่วยให้

สภาพจิตใจและอารมณ์สดชื่นแจ่มใสแล้ว ยังช่วยให้

ภาวะในร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และมีพละกำลัง

เตรียมพร้อมที่จะก้าวสู่วันถัดไปขึ้นอีกเยอะเชียวล่ะ

.......................................................................................

Tip : ตามศาสตร์ของหยิน-หยาง ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม

กาแฟในมื้อเช้า เพราะกาแฟมีฤทธิ์เป็นกรด และไม่ให้

พลังงานแก่ร่างกายแต่อย่างใด จึงยิ่งทำให้คุณรู้สึก

ง่วงนอน ไม่กระปรี้กระเปร่าในช่วงเวลาทำงานได้

words funky tune

FEATUREScover story

4 Ways to Recharge Energy, Restart Good Health 4 ศาสตร์การกิน ชาร์จพลังสุขภาพรับปีใหม่

Page 7: Foodstylist issue 58

20 foodstylist 21 foodstylist21 foodstylist

เพิม่พลังชวีติกับ Raw Vegan Food

คุณผู้อ่านเคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมเหล่าบรรดาเซเลบริตี้ ดาราฮอลลีวูด หรือ

คนดังระดับโลกไม่ว่าจะเป็นพ่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์ เดวิด เบคแฮม, ซูซาน ซาแรนดอน

หรือเอลิเซีย ซิลเวอร์สโตน ถึงสวยหล่อ หุ่นเป๊ะ และดูสดใสอยู่ตลอดเวลา

คำตอบง่ายๆ ก็คือพวกเขารับประทาน Raw Vegan Food อาหารที่ช่วย

เพิ่มพลังให้กับชีวิตนั่นเองค่ะ แต่สำหรับใครที่ยังงุนงงสงสัยว่าเจ้า Raw Vegan

Food นั้นคืออะไร มีประโยชน์มากมายขนาดนั้นเชียวหรือ...เรามีคำตอบค่ะ

Raw Food คืออาหารที่ทำจากผักผลไม้สดและต้นอ่อนของเมล็ดพืช เช่น ถั่วงอก

ข้าวสาลี สาหร่าย ซึ่งปราศจากสารพิษและการปรุงแต่งทางเคมี ไม่มีส่วนผสม

ของเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล และเมื่อนำมาปรุงอาหารต้องไม่ใช้ความร้อนเกิน 46

องศาเซลเซียสเพื่อคงคุณค่าเอ็นไซม์ของพืชผัก ผลไม้ และคุณค่าทางโภชนาการ

ไว้ได้สูงที่สุด ส่วน Vegan Food คือ อาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์

และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไข่ นม น้ำผึ้ง ฯลฯ ซึ่งใน

ปจัจบุนั Raw Vegan Food ถอืเปน็เทรนดอ์าหารทีฮ่อตฮติไมน่อ้ยในสหรฐัอเมรกิา

เนื่องจากผู้ที่หันมารับประทาน Raw Vegan Food พบว่าร่างกายได้รับคุณค่า

ทางสารอาหารเต็มที่ โดยเฉพาะโปรตีนจากพืชซึ่งมีคุณค่ามากกว่าโปรตีนจาก

เนื้อสัตว์เสียอีก เท่านั้นยังไม่พอค่ะ Raw Vegan Food ยังช่วยให้สมองทำงาน

ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สายตาดีขึ้น ช่วยในการล้างพิษ ช่วยให้ผิวพรรณ

ผ่องใส มีชีวิตชีวา และช่วยให้อารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ เรียกว่าเติมพลังให้กับชีวิต

ในทุกๆ ด้านจริงๆ ค่ะ

Don’t miss! สาวก Raw Vegan Food คนไหนอยากสวยหล่อจากภายใน แถมสดชื่นสดใสกันได้ทั้งวันแล้วล่ะก็ให้ดื่มน้ำผลไม้สดหรือปั่นทุกเช้า โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง และดื่มให้หมดภายใน 15 นาที เพื่อไม่ให้แสงและความร้อนในธรรมชาติ ทำลายรสชาติและคุณประโยชน์ของ ผลไม้ เพียงเท่านี้คุณก็เฟรช มีพลังต่อสู้กับงานกองโตได้ทั้งวันแล้วละ

20 foodstylist

Did you know?

ชาวโอกินาวาส่วนใหญ่รับประทาน

มิโซะก่อนอาหารทุกมื้อ เพื่อช่วยเพิ่ม

พื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้กิน

อาหารอย่างอื่นได้ไม่มากและ

ไม่อ้วนนั่นเอง

สขุภาพดี กนิแบบโอกนิาวา

ชาวโอกินาวาของประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีอายุยืนมากที่สุดของโลก เคล็ดลับสำคัญของพวกเขาคือ

การยึดหลักที่ว่า “รับประทานอาหารเป็นยา” ไม่ตามใจปากมากจนเกินไป และคิดให้รอบคอบก่อน

รับประทานทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าคุณเองก็ปฏิบัติตามได้ไม่ยากค่ะ เริ่มจากหมั่นรับประทานผัก เต้าหู้

และปลาทะเลโดยเฉพาะ “มะระญี่ปุ่น” เพราะมีสารโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

ที่ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกายเป็นจำนวนมาก ส่วนเต้าหู้ก็มีสารอาหาร

ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็ง

ต่อมลูกหมาก และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการรับประทานพืชผักสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายให้ได้

7 ส่วนของส่วนประกอบในอาหารทุกมื้อ เช่น พริกไทย งา สะระแหน่ ขมิ้น เป็นต้น ส่วนอาหาร

ที่ควรรับประทานแต่น้อยก็คือนมและเนื้อแดง เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นชาวโอกินาวายังมีวัฒนธรรมการรับประทานอาหารเกือบอิ่มหรือที่เรียกว่า

ฮาราฮาชิบุ คือรับประทานไม่อิ่มมาก เพียงแค่ 4 ใน 5 ส่วนของท้องหรือประมาณ 1,800

กิโลแคลอรี ซึ่งพอนั่งสักครู่จะรู้สึกอิ่มไปเองโดยธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารไม่ทำงาน

หนักเกินไป

ไลฟ์สไตล์การรับประทานของชาวโอกินาวาทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดน้ำหนักได้โดยที่โภชนาการ

ไม่เสียสมดุลแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนล้าง่าย และปราศจากโรคภัยเบียดเบียน

ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ใครจะหยิบยืมไปใช้บ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

Page 8: Foodstylist issue 58

22 foodstylist 22 foodstylist

แมคโครไบโอตกิส์ ธรรมชาตบิำบัดสขุภาพ

การรับประทานอาหารแมคโครไบโอติกส์ เป็นอีกหนึ่งวิถีการรับประทานเพื่อสุขภาพที่จะพาคุณ

กลับไปสู่การใช้ชีวิตที่สมดุล สอดคล้องกับธรรมชาติ และมีชีวิตที่ยืนยาวมีความสุข จุดเด่น

ของอาหารชนิดนี้คือการสร้างสมดุลให้ร่างกาย โดยใช้วิธีการปรุงอาหารแบบสมัยก่อนไว้ให้ได้

มากที่สุด เริ่มตั้งแต่การใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมี และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งอำนวย

ความสะดวกในทุกขั้นตอนของการปรุง รวมไปถึงการใช้ภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเป็นประเภทที่

ทำมาจากวัสดุจำพวก ไม้ แก้ว สเตนเลสสตีล เซรามิก และเครื่องเคลือบ ส่วนเครื่องครัวอะไร

ที่มันไฮเทคอย่างเตาไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นไม่แนะนำให้ใช้ค่ะ เพราะเชื่อว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

จะไปทำลายพลังชีวิตของอาหาร อย่างเช่น ข้าวก็ควรหุงด้วยหม้ออัดความดัน หรือใช้ฟืนหรือถ่านไม้

ในการหุงแทน เป็นต้น สำหรับอัตราส่วนในการรับประทานอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์นั้น

ในหนึ่งมื้อให้คุณรับประทานธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี 50-60% พืชผักตามฤดูกาลต่างๆ ทั้งแบบที่

รับประทานสดและผ่านการปรุง 20-30% ถั่วชนิดต่างๆ 5-10% และแกงจืดหรือซุป (จากถั่วเหลือง

หมัก ผัก ปลา) อีก 5-10%

ฟังดูแล้ววิธีการรับประทานแบบนี้อาจเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าคุณได้

ลองปฏิบัติตามแล้วละก็ ขอบอกว่าคุ้มค่าต่อสุขภาพมากๆ ค่ะ เพราะจากผลการวิจัยหลายสำนักพบ

ว่า อาหารดั้งเดิมแบบนี้แหละสามารถเยียวยาโรคร้ายได้สารพัด โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ส่วนใครที่มี

สุขภาพดีฟิตเปรี้ยะอยู่แล้ว ถ้าหันมารับประทานอาหารแบบนี้ก็จะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย

ช่วยให้อายุยืนยาว และมีสุขภาพจิตที่ดียิ่งขึ้นค่ะ

ลองดูนะคะว่า วิถีการรับประทานเพื่อสุขภาพ

แบบไหนถกูใจและเหมาะเจาะลงตวักบัไลฟส์ไตล์

ของคณุมากทีส่ดุ เลอืกไดแ้ลว้กอ็ยา่ลมืรบีลงมอื

ปฏิบัติกัน เพราะสุขภาพดีไม่มีขายที่ไหน หาก

แต่เกิดขึ้นได้จากตัวคุณเอง และสำหรับใคร

ที่กำลังเฟ้นหาสุดยอดเมนูเพื่อสุขภาพที่จะช่วย

ชาร์จพลังให้คุณกลับมากระชุ่มกระชวยรับปีใหม่

กันได้อีกครั้ง ก็ต้องรีบไปมองหาในคอลัมน์

dish of the month กันแล้วละ แอบกระซิบ

บอกนิดนึงว่า กลับมาคราวนี้ เจ้าของคอลัมน์

เขาจัดแบบฟูลออปชั่นให้คุณเป็นคอร์สอาหาร

เรียกว่าอิ่มอร่อยครบรส แถมได้สุขภาพที่ดี

ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันอีกต่างหาก

Tip : สำหรับเด็กๆ หญิงมีครรภ์

หรือคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร

อยากจะหันมารับประทานอาหาร

แมคโครไบโอติกส์กับเขาบ้าง

แนะนำให้เพิ่มผลิตภัณฑ์ประเภทนม

และไข่เข้าไปในเมนูของคุณอีกนิด

เพื่อป้องกันภาวะขาดแคลน

สารอาหารที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

Page 9: Foodstylist issue 58

78 foodstylist

DESIGN & LIFESTYLE

79 foodstylist

words & styling vasit bunditdumrongkul photographs wannasak sirisab

DESIGN & LIFESTYLE

table DIY

จัดแต่งโต๊ะอาหารให้สดชื่นด้วยโทนสีเขียวของพืชผักสมุนไพร

และกระตุ้นความอยากอาหารด้วยโทนสีส้มสดใสดูน่ารับประทาน

ลองเลือกถ้วยชามเซรามิกโทนสีเขียว-ขาวดูสบายตา และเพิ่มความร่มรื่นด้วยกระถาง

ต้นไม้เล็กๆ อาจจะเป็นต้นมะสังแคระต้นน้อย พืชผักสวนครัว หรือจะเป็นพืชสมุนไพร

ใบเล็กๆ น่ารักอย่างเปปเปอร์มินต์ ไทม์ ออริกาโน หรือโรสแมรี่ก็เข้าท่า และสร้าง

ความกระปรี้กระเปร่าด้วยแอปเปิ้ลเขียวและผลส้มที่ทั้งสีและกลิ่นหอมสดชื่นชวนให้

เจริญอาหาร นอกจากนี้หากมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยก็สามารถสนุกกับการสร้างสรรค์

ผลงานที่รองจานและที่รองแก้วเข้าชุด ลวดลายใบเปปเปอร์มินต์ได้ง่ายๆ โดยเริ่มจาก

การลงมือร่างแบบด้วยดินสอสีไม้โทนสีเขียวลงบนกระดาษน้ำตาลแบบรีไซเคิลขนาด A3

และลงลายเส้นพร้อมรายละเอียดน่ารักๆ ของขอบหยักๆ ด้วยปากกาเมจิกสีเขียวมินต์

จากนั้นก็ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบไม่ต้องตรงมากไปตามแนวกระดาษโดยเว้นเว้าแหว่งไป

ตามขอบของลวดลายใบไม้ ส่วนที่รองจานก็แค่เป็นใบเปปเปอร์มินต์เวอร์ชั่นขยายใหญ่

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

fresh dining

Page 10: Foodstylist issue 58

80 foodstylist 81 foodstylist

words chef ik-bunn boriboon photographs wannasak sirisab

chef legendaryDESIGN & LIFESTYLE

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน และต้องขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่ไปด้วยเลยนะครับ สำหรับฉบับนี้ผม

อาจจะไม่ได้นำสูตรการทำอาหารมาฝากอย่างๆ เต็มๆ เหมือนเช่นเคย แต่จะมาแชร์ประสบการณ์จริง

ของผมในการที่จะก้าวไปสู่การแข่งขันทำอาหารระดับโลกให้ได้ฟังกัน รับรองว่าสนุกครบทุกรสชาติกัน

อย่างแน่นอนครับงานนี้

เมื่อสองสามเดือนก่อนผมได้มีโอกาสไปร่วมงานแถลงข่าว Cooking dancing contest ที่นิตยสาร

Food Stylist จัดขึ้นและได้มีโอกาสได้พบกับน้องๆ ทีม Thailand Culinary Academy ที่ไปร่วม

โครงการแข่งขันประกวดการทำอาหารระดับนานาชาติมาแล้วมากมาย เห็นว่าได้เหรียญรางวัลติด

ไม้ติดมือกลับมากันเป็นร้อยเหรียญ (ยอมรับครับว่าตอนแรกผมก็ไม่รู้จักน้องๆ เขาหรอก) ซึ่งในระหว่าง

ที่มีการสัมภาษณ์ น้องๆ ก็จะเล่าถึงประสบการณ์การแข่งขัน การทำงานเป็นทีม ผมเห็นสิ่งที่น้องๆ

ได้กลับมา เห็นพรีเซ้นท์เทชั่นหน้าตาของอาหาร แต่ที่สำคัญที่สุดคือเห็นแววตา และสิ่งที่ผมเรียกว่า

passion ของน้องๆ ผมเลยหันกลับมามองตัวเอง และเกิดความคิดว่านี่แหละอาจจะเป็นแนวทางที่จะ

พัฒนาตัวเอง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ให้กับเรา บอกตรงๆ ครับว่ารู้สึกอิจฉา วันนั้นเลยพูดออกไปด้วย

ว่า “อยากเป็นอย่างน้องๆ บ้าง รู้สึกอิจฉา” พอจบงานเท่านั้นแหละ เชฟวิลแมน ประธานผู้ก่อตั้ง

Thailand Culinary Academy หรือจะว่าไปแล้วก็คือแม่ทัพใหญ่ผู้ปลุกปั้น กลุ่มเชฟทีมชาติ ก็ได้เดิน

เอานามบัตรเข้ามาให้และบอกให้อีเมลล์คุยกัน (ขอบอกว่านาทีนั้นตื่นเต้นสุดๆ ครับ) และนั่นคือก้าว

แรกของผม และเป็นที่มาในการบอกเล่าเรื่องราวผ่านคอลัมน์นี้ ซึ่งก็เหมือนกับเป็นไดอารี่เล่มนึงของ

ผมนี่แหละครับ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ได้มีการนัดคุยกับเชฟวิลแมน ซึ่งก็ทำให้ความตื่นเต้นของผมเพิ่มขึ้นเป็น

ทวีคูณ บรรยากาศในวันนั้นเหมือนกับผมกำลังถูกสัมภาษณ์อยู่นิดนึง จำได้ว่ารู้สึกประหม่ามากพูด

ติดๆ ขัด ๆ ไม่เคยพูดภาษาอังกฤษติดๆ อย่างนี้มาก่อนเลย และต้องบอกจริงๆ ว่าผมเป็นคนที่กลัว

เชฟมาก ไม่ว่าจะเชฟท่านไหนก็ตาม แต่ในความหมายของผมคือคนที่เป็นเชฟจริงๆ มีประสบการณ์

สัปดาห์แรก...

First step to the competition

การทำงาน มีความน่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นพอเจอก็

จะค่อนข้างประหม่า เชฟเหมือนสัมภาษณ์เราไปในตัว

ว่าจุดมุ่งหมายเราเป็นอย่างไร เพื่ออะไร พอคุยกัน

เสร็จสรรพ เขาก็บอกว่าเหตุผลของผมโอเค ค่อนข้าง

คุยกันรู้เรื่อง รู้สึกอบอุ่น การพูดคุยกันครั้งนี้ทำให้ผม

รู้สึกเหมือนได้เติมในสิ่งที่เคว้งมานาน

เมื่อสอบสัมภาษณ์เสร็จ ทีนี้ก็มาภาคปฏิบัติกันบ้างล่ะ

ครับ โจทย์ในวันนี้ก็คือเชฟวิลแมนให้ผมส่งรูปถ่าย

อาหารที่ทำให้เขาดู เพื่อจะรู้ว่าตัวตนของเราคืออะไร

ไม่ต้องการสูตร ดูว่าพื้นฐานของเราเป็นอย่างไร กลับ

มาผมก็เลยรีบมาทำการบ้านอย่างหนักเลยล่ะครับ ก็

คิดเลยว่าเราทำอาหารมาหลายเมนู จำไม่ได้หมดว่า

ทำอะไรมาแล้วบ้าง บางครั้งทำให้ตัวตนเราขาดหาย

ไปอยู่เหมือนกัน โจทย์แรกของเชฟวิลแมนต์ จึงช่วย

ให้ผมได้ทบทวนตัวเองเป็นอย่างดีทีเดียว ส่วนเมนูที่

ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ติดตามกันได้ในฉบับหน้า

นะครับ รับรองว่าเส้นทาง to the top chef ของผม

มีอะไรสนุกๆ เล่าให้ฟังกันอีกเยอะเชียวล่ะครับ

“บรรยากาศในวันนั้นเหมือนกับผม

กำลังถูกสัมภาษณ์อยู่นิดนึง จำได้

ว่ารู้สึกประหม่ามากพูดติดๆ ขัด ๆ

ไม่เคยพูดภาษาอังกฤษติดๆ อย่าง

นี้มาก่อนเลย และต้องบอกจริงๆ

ว่าผมเป็นคนที่กลัวเชฟมาก”

Page 11: Foodstylist issue 58

32 foodstylist 33 foodstylist

words witoon wongsawat photographs wannasak sirisub

COOKING drink of the month

Witoon Wongsawat

ย้อนกลับมาอีกครั้งกับการเสนอเรื่องราวของเครื่องดื่มดีๆ

ฉลองปีใหม่ ซึ่งแน่ล่ะต้องจงใจให้ออกเป็นสีเหลือง เพื่อจะได้

ถูกโฉลกกับสีในเดือนแรกของปีที่ผมตั้งชื่อค็อกเทลเพื่อสุขภาพ

นี้ว่า TOAST แล้วถ้าเกิดนึกอยากทำตาม ก็ตามนี้เลยครับ

รัม 1 ออนซ์

เป็นเหล้าที่ทำมาจากกากน้ำตาลของอ้อย พื้นที่หลักในการผลิต

จะอยู่แถวหมู่เกาะฝั่งทะเลแคริบเบียนซึ่งปลูกอ้อยกันมาก และ

บางประเทศในอเมริกาใต้

ไวท์ แครม เดอ มองท์ 1/2 ออนซ์ (ลิเคียวร์ เหล้าหวานรส

สะระแหน่สีขาว)

น้ำมะนาวสด 1 ออนซ์

เพื่อความกระชุ่มกระชวย ที่สำคัญแก้เรื่องอ่อนเพลียได้ชะงักนัก

น้ำเชื่อม 1 ออนซ์

ไม่น่าเชื่อเลยว่าการดื่มน้ำเชื่อมในสัดส่วนที่พอดิบพอดีจะช่วย

รักษาแผลเรื้อรังได้

กีวี่ 1 ผล (หั่นเป็นชิ้นไม่เอาเมล็ด)

คุณสาวๆ ที่ห่วงเรื่องผิวพรรณก็ต้องกีวี่ที่คนไทยเรามักเรียกสร้อย

ห้อยท้ายตามต่อด้วยนิวซีแลนด์นี่เลย ซึ่งนอกจากจะมีวิตามินซี

จนเหลือเฟือแล้ว ยังมีวิตามินอีที่ช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย

มะเฟือง 1 ผล (เลือกที่ค่อนข้างสุกสักหน่อย

เฉือนเอาแต่เนื้อเพื่อไม่ให้โดนแกน และอย่าลืม

ปอกเปลือกกันเหม็นเขียวออกเสียด้วยล่ะ)

มะเฟืองนี่จะช่วยรสความร้อน กล่อมประสาท

ช่วยให้ไม่ฟุ้งซ่านทำให้นอนหลับง่ายได้ดีนักแล

แตงโมสีเหลือง 50 กรัม เฉือนเอาแต่เนื้อไม่

เอาเมล็ด

แตงโมนี่จะทำหน้าที่ได้ดีในเรื่องของการย่อย

อาหาร ลดความเครียด ที่แน่ๆ ยังลดความอ้วน

ได้อีกด้วย

สะระแหน่ 4 – 5 ใบ (ใช้นิดหน่อยเพื่อเอากลิ่น

มากไปเดี๋ยวสีจะออกเขียวอย่างที่เราไม่อยากให้

เป็น)

ส่วนประโยชน์นั้นเด่นชัดในเรื่องการขับลม แก้

ท้องอืดท้องเฟ้อ ทำให้สมองปลอดโปร่ง อะไรต่อ

มิอะไรก็จะดูโล่งไปหมด

แก้ว ใช้แก้วแฟนซี ลอง ดริ๊งก์ (FANCY

LONG DRINK GLASS)

ประดับตกแต่ง ด้วยมะเฟืองหั่นแว่น ลูกเชอร์รี่

สีแดง และใบสะระแหน่

วิธีผสม

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นไฟฟ้า ปั่นให้

ละเอียดพอสมควรจนส่วนผสมข้นเหมือน

เกล็ดน้ำแข็ง แล้วเทลงในแก้วที่ เตรียมไว้

ทั้งหมดก็แค่นี้เอง

ผมอยากกระซิบไว้สักนิดว่า ถ้าชอบข้น... เข้ม...

หรือเปรี้ยวหวานอย่างไร ปรับสัดส่วนได้ตาม

ใจชอบเลยนะครับ ของอย่างนี้มันต้องให้ถูกใจ

คนดื่ม อีกอย่างผลไม้ที่เลือกนำมาใช้ในแต่ละครั้ง

ความเปรี้ยวหวานก็แตกต่างกันไปเพราะเป็น

ผลไม้สด ขนาดน้ำผลไม้กระป๋องยังต้องเลือกใช้

ยี่ห้อเดิมเลย ถ้าสัดส่วนในการปรุงรสชาติ

เคยโดน! ไปแล้ว เพราะแต่ละยี่ห้อรสชาติก็

ไม่เหมือนกันน่ะครับ

สรุปว่าเราจะเถลิงศกฉลองกันด้วย TOAST ที่มี

รสชาติที่แสนจะรัญจวนใจ แถมอุดมด้วย

คุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ตามที่แนบท้ายในส่วนผสม

ไว้แล้ว เพื่อหัวใจที่แข็งแกร่งพอที่จะผลักทุกข์

เหลือไว้แต่ความสุข และร่ำรวยความสุขตลอดไป

TOAST... ไชโย

Special thanks : โรงเรียนวิฑูรย์ค็อกเทลและไวน์

www.witooncocktailandwine.com

TOAST

Page 12: Foodstylist issue 58

70 foodstylist 71 foodstylist

Home consumers หรือกลุ่มแม่บ้าน การจัดนั้นแน่นอนว่าทำอย่างไรให้มันดูง่ายที่สุด

ให้องค์ประกอบในจานครบถ้วน แต่ต้องไม่ประดิดประดอยในการจัดจานมากจนเกินไป สังเกตได้จาก

ส่วนผสมต่างจะถูกจัดจริง (real) สุดๆ มีทั้งความยุ่งเหยิง ความเลอะเทอะ ชีสที่ขูดกระจายติด

ขอบจาน แต่ต้องจำไว้ว่ามีได้บ้างแต่พอดีพองาม เพื่อให้ดูแล้ว real เท่านั้น เพราะชีวิตจริงเชื่อว่า

แม่บ้านหรือคนที่ทำอาหารจริงๆ ก็จะไม่เนี้ยบมาก เวลาที่คนกลุ่มนี้มาดูภาพเขาจะนึกภาพตาม อ๋อ...

เวลาเราทำอาหารมันก็เป็นแบบนี้ ซึ่งก็ดูน่ารับประทานอีกแบบหนึ่ง

words & styling pattana suwannakote photographs wannasak sirisab

DESIGN & LIFESTYLE

คงจะโดนใจกันไม่ใช่น้อยนะครับกับสไตล์การจัดซีซ่าร์สลัด พร้อมกับ

มุมมองภาพทั้ง 3 แบบ ที่เหมาะกับ 3 กลุ่มคน (ถ้าใครจะยกระดับ

รสนิยม และมุมมองในการชมภาพอาหารขึ้นก็ไม่ว่ากันนะครับ)

สำหรับฉบับหน้า food stylist essential chapter 5 ตอนที่มีชื่อว่า

The Basic of Propping การเลือกใช้พร็อพพื้นฐานในการจัดวาง

องค์ประกอบภาพงานโฆษณาให้สมบูรณ์แบบ

food stylist essential

มีคำถามเกี่ยวกับการจัดสไตลิ่งอาหารตลอด

เวลาว่าทำอย่างไรจะรับมือกับคนที่มาดูงาน

ของเราทั้ง 3 กลุ่มนี้ให้อยู่หมัด ดังนั้นผมจะ

ยกตัวอย่างการจัดสลัด (ซีซ่าร์สลัด) มา

หนึ่งจาน พร้อมเผยเทคนิคและวิธีการจัด

สไตลิ่งง่ายๆ

Who is the audience? จัดอาหารอย่างไร

ให้โดนใจคนดู

ซีซ่าร์สลัด ประกอบด้วย ผักคอสสดๆ น้ำสลัด

ซีซ่าร์ ขนมปังอบกรอบ เบคอนทอดกรอบ

มะเขือเทศเชอร์รี่ และพาร์เมซานชีสขูดฝอย ฯลฯ

Magazine กลุ่มคนที่อ่านนิตยสาร กลุ่มคนเหล่านี้ต้องบอกว่าเริ่มที่จะดู

ภาพอาหารแบบเป็นงานศิลปะมากขึ้น เน้น Mood & Tone และการให้

อารมณ์ภาพเพิ่มมากขึ้น ฟู้ด สไตลิสท์จะจัดวางภาพอาหารให้ดู

น่ารับประทาน เน้นองค์ประกอบในจานอาหารให้สมบูรณ์ขึ้น จัดวางเรียงเป็น

ระเบียบ ไม่คลุกเคล้าส่วนผสมมากจนเกินงาม เพิ่มเติมพร็อพที่เกี่ยวข้อง

กับอาหารจานนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์บดพริกไทย ที่ขูดชีส ชีสพาร์เมซาน

รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ เช่น มีการใช้กระดาษหนังสือเข้ามาเป็นองค์ประกอบ

เพื่อบ่งบอกถึงกิจกรรมของคนๆ นั้นว่านอกจากชอบทำอาหารแล้ว เขายัง

เป็นหนอนหนังสือตัวยง ซึ่งฟู้ด สไตลิสท์ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย ภาพอาหาร

ก็จะมีอารมณ์ ซึ่งเป็นเสน่ห์ดึงดูดคนกลุ่มนี้ได้ไม่ใช่น้อย

Food Professionals พวกมืออาชีพ กลุ่มคนเหล่านี้นิยมเสพภาพ

อาหารที่ดูน่ารับประทานมากๆ บางครั้งฟู้ด สไตลิสท์ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้

ภาพอาหารดูออกมาน่ารับประทานให้มากที่สุด เห็นแล้วน้ำลายสอ

อยากที่จะกิน แน่นอนการจัดนั้น ฟู้ด สไตลิสท์ต้องละเอียดทุกขั้นตอน

รวมทั้งต้องศึกษาและทำความเข้าใจโครงสร้างของอาหารที่จะจัด ไม่ว่าจะ

เป็นการเลือกผักคอสที่คัดเฉพาะใบที่สดอ่อนที่สุด เบคอนที่ทอดหรืออบ

ไม่ให้ไหม้เกรียมจนเกินไป รวมถึงขนมปังกรอบด้วย น้ำมันจะถูกชโลมลง

ไปที่ผักมากพอๆ กับเดรสซิ่ง นอกจากนั้นยังต้องใช้ฟ็อกกี้น้ำแร่ฉีดเคลือบ

ให้ผักดูสด ประหนึ่งว่าพึ่งเก็บสดๆ มาจากแปลงเพาะปลูก มุมกล้อง

ก็สำคัญ ฟู้ด สไตลิสท์ต้องสื่อสารกับช่างภาพว่า ภาพที่ใช้ต้องเห็น

รายละเอียดของอาหารให้มากที่สุด ภาพที่นิยมใช้จึงเป็นภาพแบบ Close-up

ซึ่งจะทำให้น่ารับประทานมากๆ การจัดภาพเพื่องานแบบมืออาชีพหรือ

งานโฆษณาจะไม่นิยมใช้พร็อพมาก เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่สลัดจานนั้น

เพียงจานเดียว

ฉบับที่ผ่านมาคงได้ทราบกันไปแล้ว

นะครับว่า การจัดอาหารประเภทน้ำ

หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นทำกัน

อย่างไรไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป

ใช่ไหมครับ ฉบับนี้ผมนำเสนอการ

จัดอาหารแบบง่ายๆ ให้โดนใจคนดู

ซึ่งคนดูที่ว่านั้น ผมจะแบ่งออกเป็น

3 กลุ่มหลักด้วยกันคือ กลุ่มแรก

คือ Home Consumers หรือ

กลุ่มแม่บ้าน Magazine กลุ่มคน

ที่อ่านนิตยสาร และกลุ่มสุดท้าย

Food Profess ionals พวก

มืออาชีพ กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนมี

มุมมองในการดูรูปภาพอาหาร

ที่ฟู้ด สไตลิสท์ถ่ายทอดออกไป

แตกต่างกัน