ค�ำแนะน�ำกำรเตรียมและหลักเกณฑ์กำรจัดท�ำและส่งต้นฉบับวำรสำรสำธำรณสุขมูลฐำนภำคใต้
SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL
วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้เป็นวารสารรองรับการเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ
ด้านการแพทย์การพยาบาลการสาธารณสุขการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพและด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ของกรมต่างๆ ในกระทรวงสาธารณสุข,หน่วยงานราชการอืน่ทีเ่ก่ียวข้องด้านสาธารณสขุ,องค์เอกชน,ตลอดจนภาคี
เครือข่ายต่างๆ
กำรจัดท�ำต้นฉบับ 1.บทควำมวิจัยความยาว10-12หน้ากระดาษขนาดA4ใช้ตัวพิมพ์THSarabunPSKขนาด16Point
และต้องไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารหรือหนังสือใดมาก่อน
1.1 ชื่อเรื่องเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยตัวหนาไว้หน้าแรกตรงกลางขนาดอักษร17
1.2 ชือ่ผูเ้ขยีนเป็นภาษาไทยและภาษาองักฤษพมิพ์ด้วยตวัอกัษรปกติขนาด14อยูใ่ต้ชือ่เรือ่งให้ตวัเลข
เป็นตัวยกท้ายและสถานที่ท�างานภาษาไทยและภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยตัวอักษรปกติขนาด12
ระบุตัวเลขเป็นเลขยกท้ายให้ตรงกับชื่อผู้นิพนธ์
1.3มีบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่เกิน250ค�าต่อบทคัดย่อ
1.4 ก�าหนดค�าส�าคัญ(Keyword)ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ(จ�านวน3-5ค�า)
1.5 การเรียงหัวข้อหัวข้อใหญ่สุดให้พิมพ์ชิดขอบด้านซ้ายขนาดอักษร16
1.6 การใช้ตัวเลขค�าย่อและวงเล็บควรใช้เลขอารบิคทั้งหมดใช้ค�าย่อที่เป็นสากลเท่านั้น
ให้เรียงล�าดับสาระดังนี้
บทคดัย่อ(ภาษาไทย)/บทคัดย่อ(Abstract)/บทน�า/วตัถปุระสงค์วจิยั/สมมตฐิาน(ถ้าม)ี/กรอบแนวคดิ
การวิจัย/ระเบียบวิธีวิจัย(ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย/การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ/
การเก็บรวบรวมข้อมลู/การวเิคราะห์ข้อมลู)/จรยิธรรมวจัิย/ผลการวจัิย/อภปิรายผล/การน�าผลการวจัิยไปใช้/ข้อเสนอแนะ
ในการวิจัยครั้งต่อไป/เอกสารอ้างอิง
2.บทควำมวิชำกำร
2.1 ชื่อเรื่องเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยตัวหนาไว้หน้าแรกตรงกลางขนาดอักษร17
2.2 ช่ือผูเ้ขยีนเป็นภาษาไทยและภาษาองักฤษพมิพ์ด้วยตวัอกัษรปกติขนาด14อยูใ่ต้ชือ่เรือ่งให้ตวัเลข
เป็นตัวยกท้ายและสถานที่ท�างานภาษาไทยและภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยตัวอักษรปกติขนาด12
ระบุตัวเลขเป็นเลขยกท้ายให้ตรงกับชื่อผู้นิพนธ์
1.3 มีบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่เกิน250ค�าต่อบทคัดย่อ
1.4 ก�าหนดค�าส�าคัญ(Keyword)ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ(จ�านวน3-5ค�า)
ให้เรียงล�าดับสาระดังนี้
บทคัดย่อ(ภาษาไทย)/บทคัดย่อ(Abstract)/บทน�า/เนื้อเรื่อง/สรุป/ข้อเสนอแนะ/เอกสารอ้างอิง
3.กำรเขียนเอกสำรอ้ำงอิงของบทควำมวิจัยและบทควำมทำงวิชำกำร ท้ังภาษาไทยภาษาอังกฤษ
ให้จัดเรียงตามล�าดับอักษรชื่อผู้แต่งโดยใช้รูปแบบการเขียนเอกสารอ้างอิงแบบAPA(AmericanPsychological
Associaton)ไม่เกิน10-5เรื่อง
3.1 กรณีอ้างอิงจากหนังสือให้เขียนตามรูปแบบ
ชื่อ//นามสกุลผู้แต่ง//(ปีที่พิมพ์)//ชื่อหนังสือ//(ครั้งที่พิมพ์)//สถานที่พิมพ์:/ส�านักพิมพ์.
ไพรัชธัขยพงษ์และกฤษณะช่างกล่อม.(2541).การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศแห่งชาติ
เพ่ือการศกึษา.กรงุเทพมหานคร:ส�านกังานคณะกรรมการการศกึษาแห่งชาติส�านกันายกรฐัมนตร.ี
3.2 กรณีอ้างอิงจากวารให้เขียนตามรูปแบบ
ชือ่//นามสกลุผูแ้ต่ง//(ปี,เดือนทีว่ารสารออก).//ชือ่บทความ//ชือ่วารสาร/ปีที/่(ฉบบัที)่,/เลขหน้า
ของบทความ
จมุพลพลูภทัรชวีนิและรตันาตงุคสวสัดิ.์(2542).ววิฒันาการและทางเลอืกของนโยบายการศกึษา
ของรัฐบาลไทย.วารสารครุศาสตร์.27(2),98-106.
3.3 กรณีพิมพ์อ้างอิงอินเทอร์เน็ต(Intermet)ให้เขียนตามรูปแบบ
ชื่อ//นามสกุลผู้แต่ง//(ปีที่จัดท�า).//ชื่อเรื่องของเอกสาร.//ค้นเมื่อ/เดือน,/วัน,/ปี,/จาก/URL
ของเว็บไซต์ที่เข้าถึง
ส�านักงานคณะกรรมการวจิยัแห่งชาติ.(2545).จรรณยาบรรณนกัวจัิย.ค้นเมือ่พฤษภาคม3,2556,
จากhttp://www/nrct.go.th-research.ehties.html
4.กำรส่งเรื่องต้นฉบับให้น�ำส่งไฟล์WordทางEmail : [email protected]ดังนี้
- ส�าหรับตีพิมพ์ผลงานไม่เกิน12หน้า(SummaryPaprer)
- ผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์(FullPaper)
5.กำรท�ำหนังสือน�ำส่ง
5.1หน่วยงานสังกัดส�านักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
- โรงพยาบาลทั่วไป,โรงพยาบาลศูนย์ลงนามโดยผู้อ�านวยการโรงพยาบาลหรือเทียบเท่า
- โรงพยาบาลส่งเสรมิสขุภาพต�าบล,ส�านกังานสาธารณสขุอ�าเภอลงนามโดยนายแพทย์สาธารณสขุ
จังหวัดหรือเทียบเท่า
5.2หน่วยงานการศึกษาลงนามโดยคณบดีขึ้นไป
5.3หน่วยงานภาคเอกชน/ภาคีเครือข่ายลงนามโดยผู้บริหารองค์กรที่สังกัด
เรียนผู้อ�านวยการศูนย์พัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้จังหวัดนครศรีธรรมราช
13ถนนพัฒนาการคูขวางต�าบลในเมืองอ�าเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช80000
โทร075–446354,446005โทรสาร075–446291www.nakhonphc.go.th
Email:[email protected]โทรมือถือ081-3705370
6.ก�ำหนดเผยแพร่(ปีละ3ครั้ง)
ฉบับที่1ประจ�าเดือนตุลาคม–มกราคม
ฉบับที่2ประจ�าเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม
ฉบับที่3ประจ�าเดือนมิถุนายน–กันยายน
7.สิทธิของกองบรรณำธิกำร
ในกรณีทีบ่รรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวฒุิซ่ึงได้รบัเชิญให้เป็นผูต้รวจบทความวจิยัหรอืบทความทางวชิาการ
มีความเห็นว่าควรแก้ไขต้นฉบับทางกองบรรณาธิการจะส่งต้นฉบับให้ผู้เขียนพิจารณาจัดการแก้ไขให้ก่อนตีพิมพ์
ทั้งนี้กองบรรณาธิการจะยึดถือความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเกณฑ์
8.กองบรรณำธกิำรจะไม่ส่งต้นฉบบัคนืให้ไม่ว่ำบทควำมวจิยัหรอืบทควำมวชิำกำรนัน้จะได้รบักำรลงพมิพ์
หรือไม่
9.ต้นฉบบัจะต้องมช่ืีอผู้เขียนผู้เรยีบเรยีงหรอืผูแ้ปลโดยแจ้งชือ่นำมสกลุจรงิต�ำแหน่งผูเ้ขยีนบทควำม
สถำนที่ท�ำงำนและหมำยเลขโทรศัพท์หรืออีเมล์ที่สำมำรถติดต่อได้สะดวก
Editorบ ร ร ณ า ธิ ก า รบ ร ร ณ า ธิ ก า ร วาสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้ฉบับนี้เป็นปีที่34ฉบับที่3ประจ�าเดือนมิถุนายน-กันยายน 2563เป็นฉบบัทีเ่กดิขึน้ในช่วงรอยต่อของความเข้มข้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชือ้ไวรสัโคโรนา2019
(COVID-19)ไปทัว่โลกในขณะทีห่ลายประเทศก�าลงัเผชิญกบัปัญหาการระบาดอย่างหนกัแต่ในหลายประเทศ
รวมทั้งประเทศไทยเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางท่ีดีข้ึน วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้ มีความรู้สึกขอบคุณ
และชื่นชมต่อพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพี่น้อง อสม. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
ทุกท่านที่ทุ ่มเท ท�าหน้าที่อย่างสุดก�าลังความสามารถ และด้วยพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ท�าให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับโลกในด้านการควบคุมการแพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโคโรนา 2019
(COVID – 19) วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้ ฉบับนี้ส�าเร็จได้ด้วยความมุ่งม่ัน ความเพียรพยายาม
ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงขอขอบพระคุณท่านผู้อ�านวยการศูนย์พัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้
จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ได้ให้การสนับสนุนในทุกด้านท่านผู้ทรงคุณวุฒิที่เมตตาในการอ่านบทความและ
ให้ข้อเสนอแนะที่มีคุณค่าต่อการยกระดับคุณภาพบทความวิจัยมากขึ้นรวมถึงเจ้าของบทความที่ทุ่มเทให้กับ
งานวิจัยเพื่อเข้าสู่มาตรฐานทางวิชาการกองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวารสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน ์
ในการพัฒนาคุณภาพงานวิจัยและการเผยแพร่ผลงานให้มีการใช้ประโยชน์ ในวงกว้างมากขึ้น และพร้อมรับ
ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาวารสารต่อไปในอนาคต
Contentส า ร บั ญส า ร บั ญงำนวิจัย-ผลงำนวิชำกำร-บทควำมวิชำกำร
-พฤติกรรมการใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้สูงอายุ.............................................................. 6
ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังในจังหวัดพัทลุง
-การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองด้วยเทคนิคการวางแผนแบบมีส่วนร่วม.......................... 17
ในผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการณคลินิกเบาหวานโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
-การประเมินผลส�าเร็จการขับเคลื่อนโครงการรณรงค์ลดละเลิกการใช้ภาชนะโฟม...........................36
บรรจุอาหารอ�าเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร
-ความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรในโรงพยาบาลตะกั่วป่าจังหวัดพังงาปี2562..........................49
-การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการด�าเนินงานระบบบริการ.................................60
อนามัยสิ่งแวดล้อมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(EHA)จังหวัดสุราษฎร์ธานี
-ประสบการณ์ความเจ็บป่วยของผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลที่เท้าเรื้อรัง................................................72
อ�าเภอสิชลจังหวัดนครศรีธรรมราช
-ผลการวางแผนจ�าหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคปอดบวมตามรูปแบบD-M-E-T-H-O-D............................... 86
โรงพยาบาลพัทลุง
-การพยาบาลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อกและมีภาวะแทรกซ้อนในเด็กกลุ่มเสี่ยงสูง:........102
กรณีศึกษาเปรียบเทียบในโรงพยาบาลตะกั่วป่าจังหวัดพังงา(พ.ศ.2562–2563)
-การบริหารจัดการที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร............................................112
กรณีศึกษาศูนย์พัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานภาค5แห่งในสังกัดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
-ภาพลักษณ์ระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุในทศวรรษหน้า..............................................................120
กรณีศึกษาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�าบลจังหวัดพัทลุง
6วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
พฤติกรรมกำรใช้ยำและผลิตภัณฑ์เสริมอำหำรของผู้สูงอำยุที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ในจังหวัดพัทลุง
DrugandDietarySupplementBehaviorofElderlywithChronicDisease inPhatthalungProvince.
รำชันคงชุม
RachanKongchum
ส�านักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง
PhatthalungPublicHealthOffice
บทคัดย่อ
การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรม เจตคติและปัจจัยท่ีมีผลต่อพฤติกรรมและเจตคติ
ในการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงใน
จงัหวดัพทัลงุการวจิยัครัง้นีเ้ป็นการวจิยัเชงิส�ารวจณจดุเวลาใดเวลาหนึง่แบบตดัขวางกลุม่ตัวอย่างคอืผูส้งูอายุทีป่่วย
เป็นโรคเบาหวานหรอืโรคความดนัโลหิตสงูจ�านวน423คนทีเ่ลอืกมาด้วยการสุม่ตวัอย่างแบบชัน้ภูมิผูว้จิยัและ
ผู้ช่วยผู้วิจัยที่ผ่านการอบรม ใช้แบบสอบถามการใช้ยาในผู้สูงอายุที่ดัดแปลงมาจากโครงการยาปลอดภัย
ในชมุชนของส�านกังานคณะกรรมการอาหารและยาผ่านการทดสอบความตรงเชงิเนือ้หาและความน่าเชือ่ถอื
ด้วยค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่าของครอนบัค(ด้านพฤตกิรรม:0.708/ด้านเจตคต:ิ0.739)วเิคราะห์ด้วยสถติพิรรณนา
และไควสแควร์ผลการศกึษาพบว่ากลุม่ตวัอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญงิมอีายรุะหว่าง65-69ปีมโีรคประจ�าตวั
เป็นความดันโลหิตสูงและโรคอื่นที่ไม่ใช่เบาหวาน พฤติกรรมการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมี
คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 2.80±0.09 (คะแนนเต็ม 3) เจตคติในการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพมีคะแนน
เฉลี่ยเท่ากับ 2.57±0.09 (คะแนนเต็ม 3) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านโรคประจ�าตัวที่เป็นและจ�านวนสมาชิกใน
ครัวเรือนมีผลต่อพฤติกรรมการกินยาสมุนไพรหรือยาแผนโบราณร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อช่วยรักษาโรค
ที่เป็นอยู่และพฤติกรรมการซื้อยาชุดจากร้านยาหรือร้านช�ามากินเมื่อเจ็บป่วยไม่สบายอีกทั้งปัจจัยดังกล่าว
มีผลต่อเจตคติในการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพในด้านยาลูกกลอนยาต้มยาหม้อเป็นยาที่ช่วยบรรเทา
อาการเจ็บป่วย ปัจจัยส่วนบุคคลด้านโรคประจ�าตัวที่เป็นมีผลต่อเจตคติการกินยาแผนโบราณไม่มีอันตราย
และปัจจัยส่วนบุคคลด้านจ�านวนสมาชิกในครัวเรือน มีผลต่อเจตคติการกินอาหารเสริมเพื่อช่วยรักษาโรค
ทีเ่ป็นอยู่เช่นเบาหวานข้อเสือ่มเป็นสิง่ทีป่ลอดภยัอย่างมนียัส�าคญัทางสถิตทิีร่ะดบั0.05ผูส้งูอายทุีป่่วยเป็น
โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในจังหวัดพัทลุงมีพฤติกรรมเจตคติที่ดีในการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ ์
เสริมอาหารบุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความรู้เพิ่มเติมแก่ผู้สูงอายุรวมทั้งบุคคลในครอบครัวในการเลือก
ซื้อยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อให้ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูงสามารถเลือก
ใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้อย่างปลอดภัย
7 วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNALปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน์ - กันย�ยน 2563
ค�ำส�ำคัญ:พฤติกรรมการใช้ยา,ผู้สูงอายุ,ความดันโลหิตสูง,เบาหวาน
Abstract
Thepurposeofthisresearchistostudythebehavior,attitudeandfactorsaffectingto
thoseindrugsanddietarysupplementsconsumingofelderlywithdiabetes,hypertensionin
Phatthalungprovince.Thisresearchiscross-sectionaldescriptivedesign.Thesamplegroup
wastheelderlywithdiabetesorhypertensionintotalnumberof423;selectedbystratified
randomsampling.Theresearcherandtheassistantresearcherwhopassedthetrainingcourse
usedthequestionnairesforelderly(adjustedfromtheprojectofthecommunitydrugsafety,
FoodandDrugAdministration)whichreachedthecontentvaliditytestandreliabilitytest
byCronbach’sAlphacoefficients(behavior:0.708/attitude0.739),analyzeditbydescriptive
statistics and chi-square. The outcomes found thatmostlywere female, aged between
65-69yearsoldwithunderlyingofhypertensionandotherdiseasesexceptdiabetes.The
druganddietarysupplementusebehaviorhadameanscoreof2.80±0.09(fullscoreof3.00).
Theattitudeforselectingthedruganddietarysupplementconsuminghadameanscore
of2.57±0.09(fullscoreof3.00).Factorsabouttheunderlyingdiseasesandthenumberof
householdmembershadresulted inthebehaviorof takingherbalmedicinesalongwith
modernmedicines to treat pre-existing diseases and the behavior of Ya-chud ingestion
purchasingfromdrugstoreorgrocerystorewhenfeelingillness.Inaddition,thosesaidfactors
affectedtheattitudeincomplimentarymedicines/bolus/dietarysupplementconsumption.
Individualfactorsregardingtounderlyingdiseaseaffectedtheattitudeintakingcomplimentary
medicineswereoutofharm.Andalsothe individual factors regardingtothenumberof
householdmembersresultedinthebehaviorofgettingdietarysupplementtotreatpre-
existingdiseaseslikediabetes,osteoarthritisweresecurewithstatisticalsignificantlevelat
0.05.TheelderlywithdiabetesandhypertensioninPhatthalungprovincehavegoodbehavior
/attitudefortheuseofdrugsanddietarysupplements.Healthcareprofessionalsshouldgive
additionalknowledge for theelderly includingof thehouseholdmembers inpurchasing
choicesofdrugsanddietarysupplements;inordertomaketheelderlywithdiabetesand
hypertensioncandotheselectionofdrugsandhealthproductssafely.
Keywords:Drugusebehavior,Elderly,Hypertension,Diabetes
8วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
บทน�ำ
รายงานของกรมกจิการผูส้งูอายุ(กรมกจิการ
ผู้สูงอายุ, 2563) สถิติผู้สูงอายุของประเทศไทย
ธันวาคม 2562 จ�านวน 11,136,059 คน คิดเป็น
ร้อยละ 16.73 ของประชากรคนไทยทั้งหมด
66,558,935 คน ประชากรกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป
ในเขตสุขภาพท่ี 1-12 ไม่รวมกรุงเทพมหานคร
มีจ�านวนประชากร 8,442,032 คน ป่วยเป็นโรค
ความดันโลหิตสูงจ�านวน3,720,724คน(44.07%)
โรคเบาหวานจ�านวน 1,660,473 คน (19.67%)
จังหวัดพัทลุงมีประชากรทั้งหมดในปี พ.ศ.2562
จ�านวน 524,705 คน เป็นผู้สูงอายุท่ีมีอายุ 60 ปี
ขึ้นไป จ�านวน 93,897 คน (17.89%) (กระทรวง
สาธารณสุข, 2562) รายงานระบบคลังข้อมูลโรค
ไม่ตดิต่อเรือ้รงัของส�านกังานสาธารณสขุจังหวัดพทัลงุ
ผู้สูงอายุป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง จ�านวน
36,546 คน (38.92%) และโรคเบาหวานจ�านวน
14,877 คน (15.84%) ของประชากรผู้สูงอาย ุ
ในจังหวัดพัทลุง
การส�ารวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจ
ร่างกาย พบว่ากลุ่มผู้สูงอายุมีการใช้ยามากกว่า
ประชากรในกลุ่มวัยอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม
ยาแก้ปวด ยานอนหลับ และยาลูกกลอน ส่งผลให้
ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากการใช้ยา
มากกว่าคนในกลุ่มวัยอื่น (วิชัย เอกพลากร,2552)
การใช้ยาหลายชนิดในผู้สูงอายุเป็นเหตุให้มีโอกาส
เกิดปัญหาปฏิกริยาระหว่างยาได้มากส่งผลกระทบ
ต่อผู ้สูงอายุด้านคุณภาพชีวิต เป็นภาระต่องบ
ประมาณและบุคลากรในการดูแลผู้สูงอายุที่ได้รับ
ผลกระทบจากการใช้ยาร่วมกันหลายขนานอีกด้วย
(ศิรสาเรืองฤทธิ์ชาญกุล,2018)
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกิดขึ้น
เมื่อผู้ป่วยต้องการแสวงหาการรักษาโรคด้วยตนเอง
จากการทบทวนรายงานวิจัย ค.ศ.2000–2014
จ�านวน 27 การศึกษา (Riana & Beata, 2017)
พบว่าประมาณร้อยละ11ของยาที่ผู้ป่วยได้ซื้อหา
มาเองเพื่อการรักษาโรคความดันโลหิตสูงนั้น
เฉลี่ยประมาณร้อยละ25ของผู้ป่วยได้ใช้ผลิตภัณฑ์
ดังกล่าวเป็นทางเลือกโดยส่วนมากจะเป็นสมุนไพร
เพื่อลดความดันโลหิต ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่ม ี
อาการความดันโลหิตสูง จะรับประทานยาที่เข้าถึง
ได้ง่าย(OverTheCounter:OTC)ส�าหรับรักษา
อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยการใช้ยาลดความดันโลหิต
พร้อมกบัยาลดปวดและผลติภัณฑ์สมนุไพรจงึมกัเจอ
เป็นเรื่องปกติในทางคลินิก จากรายงานการศึกษา
พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของ
ผู้ป่วยเบาหวานในเขตเทศบาลต�าบลวาริชภูมิ
อ�าเภอวาริชภูมิจังหวัดสกลนครพบว่ากลุ่มตัวอย่าง
ผู้ป่วยเบาหวานร้อยละ 28.46 เคยและหรือก�าลัง
บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งจะรับประทาน
วันละ 1-2 ครั้ง ควบคู่กับยาเบาหวานท่ีแพทย์สั่ง
โดยคาดหวงัเพือ่บ�ารงุร่างกายและให้หายจากอาการ
เบาหวาน ซึ่งมีแรงจูงใจจากตัวแทนขายตรงเกือบ
ร้อยละ50(สมใจและกรแก้ว,2556)
ส่วนการส�ารวจปัญหาและพฤติกรรมการ
ใช้ยาผลติภณัฑ์เสรมิอาหารและสมนุไพรของผูส้งูอายุ
กรณศีกึษาชมุชนศรีษะจรเข้น้อยจงัหวัดสมทุรปราการ
(ปิยะวัน,ปวีณา,หรรษาและวรัญญา,2559)พบว่า
ในกลุ่มตัวอย่างลืมรับประทานยาร้อยละ 35.7,
การซื้อยาเพิ่มเองร้อยละ 21.2, ใช้ยาแผนโบราณ
ร้อยละ 19.1, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร้อยละ 14.2
และยาสมุนไพรร้อยละ 62.2 เพื่อรักษาโรค
9 วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNALปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน์ - กันย�ยน 2563
โดยมีผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 7.7 แจ้งให้แพทย์ทราบ
ว่าได้ใช้ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือ
สมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบันในการรักษาโรค
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรม
การเลือกใช้ยาของผู้สูงอายุ แต่ยังไม่มีข้อมูลของ
จังหวัดพัทลุง ผู้วิจัยในฐานะปฏิบัติงานด้านการ
คุ้มครองผู้บริโภคของส�านักงานสาธารณสุขจังหวัด
จึงจ�าเป็นต้องมีข้อมูลพฤติกรรมการเลือกใช้ยาและ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในผู้สูงอายุจึงเลือกผู้สูงอายุ
60 ปีขึ้นไป ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือ
โรคเบาหวาน ส�าหรับใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการ
วางแผนการด�าเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาพฤติกรรม เจตคติ และปัจจัย
ท่ีมีผลต่อพฤติกรรมและเจตคติการเลือกใช้ยาและ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรค
เบาหวานโรคความดันโลหิตสูงในจังหวัดพัทลุง
กรอบแนวคิด
ผู้วิจัยก�าหนดปัจจัยส่วนบุคคลเป็นตัวแปร
ต้นและตัวแปรตามด้านพฤติกรรม 6 ตัวแปร
ด้านเจตคติ5ตัวแปร
ระเบียบวิธีกำรวิจัย
การวจิยัเป็นการวจิยัเชงิส�ารวจณจดุเวลาใด
เวลาหนึ่งแบบตัดขวาง (Cross-sectional
descriptivestudy)
ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้สูง
อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า
ป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูง
พกัอาศยัในครวัเรอืนของจงัหวดัพทัลงุในปีพ.ศ.2562
จ�านวน51,423คนผู้วิจัยได้ก�าหนดขนาดตัวอย่าง
จากตารางส�าเรจ็รปูของยามาเน่ทีร่ะดบัความเช่ือมัน่
95% ค�านวณตัวอย่างทั้งหมด 398 คน ผู้วิจัย
ปรับกลุ่มตัวอย่างเป็น 440 คนท�าการสุ่มตัวอย่าง
แบบชัน้ภมูิประชากรถกูแบ่งชัน้ตามอ�าเภอในแต่ละ
อ�าเภอเลอืก1ต�าบลต�าบลละ4หมูบ้่านหลงัจากนัน้
เลือกครัวเรือนด้วยวิธีสุ่มอย่างง่ายจากครัวเรือนที่ม ี
ผู้ป่วยสูงอายุซึ่งป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือ
โรคเบาหวานพักอาศัยอยู่ ผู้สูงอายุสามารถสื่อสาร
ภาษาไทยได้และยนิดตีอบแบบสอบถามหากหมูบ้่าน
ใดมกีลุม่เป้าหมายน้อยกว่า11คนเพิม่จ�านวนหมูบ้่าน
จนครบตามเป้าหมายจนได้ตวัอย่างครบ40ตวัอย่าง
ในแต่ละอ�าเภอ
เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย
แบบสอบถามการใช้ยาของผูส้งูอายโุครงการ
ยาปลอดภัยในชมุชนส�านกังานคณะกรรมการอาหาร
และยาประกอบด้วย3ส่วนคือส่วนที่ 1ข้อมูล
ครัวเรือนที่ส�ารวจส่วนที่2ข้อมูลผู้ป่วยเพศอายุ
การศึกษาโรคประจ�าตัวจ�านวนสมาชิกในครัวเรือน
ส่วนที่ 3 พฤติกรรมการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ ์
ตัวแปรต้น
ปัจจัยส่วนบุคคล
ได้แก่
-เพศ
-อายุ
-การศึกษา
-จ�านวนสมาชิกใน
ครัวเรือน
-โรคประจ�าตัว
ตัวแปรตำม 1.ด้านพฤติกรรมการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร-กินยาสมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบัน-กินยาลูกกลอนแทนยาแผนปัจจุบัน-กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับยาแผนปัจจุบัน-ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากตัวแทนขายในหมู่บ้าน-ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากทีวีวิทยุ-ซื้อยาชุดจากร้านยาหรือร้านช�ามากิน2.ด้านเจตคติการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร-การกินอาหารเสริมเพื่อช่วยรักษาโรคที่เป็น-การกินยาแผนโบราณไม่มีอันตราย-การกินยาชุดเมื่อมีอาการไม่สบาย-ยาสมุนไพรเป็นยาที่มีความปลอดภัยสามารถซื้อกินเองได้-ยาลูกกลอนยาต้มยาหม้อเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการป่วย
10วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
เสรมิอาหารในช่วง3เดอืนทีผ่่านมาแบ่งเป็น3ระดบั
คือ ท�าสม�่าเสมอ ท�าบางคร้ัง ไม่เคยท�า และส่วน
เจตคตกิารใช้ยาและผลติภณัฑ์เสรมิอาหารแบ่งเป็น
3ระดับคือเห็นด้วยไม่เห็นด้วยไม่แน่ใจ
กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ
ทดสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยหาความ
ตรง ความน่าเชื่อถือ ความยากของค�าถาม อ�านาจ
การจ�าแนกและความเป็นปรนัยดังนี้
1.ความตรงตามเนือ้หา(contentvalidity)
ใช้ผู้เชี่ยวชาญจ�านวน3ท่าน ในสาขาเภสัชศาสตร์
2ท่านและพฤติกรรมศาสตร์1ท่านเพื่อตรวจสอบ
ความครอบคลมุของเนือ้หาความถกูต้องและชัดเจน
ของภาษาเพือ่ให้สอดคล้องกบันยิามและกรอบแนวคิด
ทดลองใช้เกบ็ข้อมลู3แห่งคอืจงัหวดัพะเยาจงัหวดั
อุบลราชธานี และจังหวัดขอนแก่น น�ามาปรับปรุง
ภาษาที่ใช้เพื่อให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
2.ความน่าเชื่อถือ(reliability)โดยหาค่า
สัมประสิทธ์ิแอลฟ่าของครอนบัค ด้านพฤติกรรม
จ�านวน6ข้อ ได้ค่าเป็น 0.708ส่วนเจตคติการใช้
ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จ�านวน 5 ข้อ ได้ค่า
เป็น0.739
กำรเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยประสานงานกับผู้ช่วยวิจัยในแต่ละ
อ�าเภอที่ผ่านการอบรมเกี่ยวกับโครงการวิจัยเครื่อง
มือการวิจัยและวิธีเก็บข้อมูล จ�านวน 11 อ�าเภอ
ในจงัหวดัพทัลงุเพือ่ชีแ้จงวตัถปุระสงค์ของการท�าวจัิย
ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูล ตามกลุ่มตัวอย่าง
ทีไ่ด้สุม่ไว้โดยใช้แบบสอบถามการใช้ยาของผูส้งูอาย ุ
โครงการยาปลอดภยัในชุมชนโดยเกบ็ข้อมลูระหว่าง
วันที่11–31มีนาคมพ.ศ.2563ได้ข้อมูลที่มีความ
สมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถามจ�านวน423ชุด
คิดเป็นร้อยละ96.13ของกลุ่มตัวอย่าง
กำรวิเครำะห์ข้อมูล
ใช้โปรแกรมส�าเร็จรูป โดยสถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละส่วนดังนี้คือ
1.ข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคลเพศอายุระดับ
การศึกษา จ�านวนสมาชิกในครัวเรือน โรคเรื้อรัง
ที่เป็น คะแนนพฤติกรรมและเจตคติการใช้ยาและ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ยและ
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2.ทดสอบหาปัจจยัส่วนบคุคลประกอบด้วย
เพศอายุระดบัการศกึษาจ�านวนสมาชกิในครวัเรอืน
โรคเรื้อรังที่เป็น ที่มีผลต่อพฤติกรรมและเจตคติ
ของการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
โดยใช้สถิติไคสแควร์
จริยธรรมกำรวิจัย
การวิจัยนี้ผ่านการพิจารณารับรองการวิจัย
จากคณะกรรมการจรยิธรรมการวิจยัในมนษุย์ส�านกังาน
สาธารณสขุจงัหวดัพทัลงุกระทรวงสาธารณสุขเอกสาร
รับรองเลขที่PPHORECNO.012
ผลกำรวิจัย
1.ข้อมูลส่วนบุคคล
กลุ่มตัวอย่างจ�านวน423คนส่วนใหญ่
เป็นเพศหญงิ303คน(71.6%)สดัส่วนอายใุนแต่ละ
ช่วงอายุมจี�านวนใกล้เคียงกนักลุม่อายทุีพ่บมากทีส่ดุ
คืออายุ65-69ปี96คน(22.7%)รองลงมาเป็น
กลุ่มอายุ60–65ปี95คน(22.5%)การศกึษาประถม
11 วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNALปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน์ - กันย�ยน 2563
ศึกษา 349 คน (82.54%) อาศัยอยู่กับสมาชิก
ในครัวเรือนด้วยกัน 2-4 คน 293 คน (69.3%)
ดังรายละเอียดในตารางที่1
ตำรำงที่ 1 จ�านวนและร้อยละของผู้สูงอายุในครัว
เรือนที่ส�ารวจแยกตามเพศอายุการศึกษาสมาชิก
ในครัวเรือนและโรคที่เป็น(N=423)ข้อมูลทั่วไป จ�านวน(คน) ร้อยละ
เพศ
ชาย 120 28.37
หญิง 303 71.63
อำยุ
60-64ปี 95 22.5
65-69ปี 96 22.70
70-74ปี 89 21.04
75-79ปี 79 18.68
80ปีหรือมากกว่า 64 15.13
ระดับกำรศึกษำ
ไม่ได้เรียน 54 12.87
ประถมศึกษา 349 82.51
มัธยมศึกษา 17 4.02
อนุปริญญา 1 0.24
ปริญญาตรีหรือสูงกว่า 2 0.47
สมำชิกในครัวเรือน
อยู่คนเดียว 47 11.11
2-4คน 293 69.27
5–7คน 72 17.02
8คนหรือมากกว่า 11 2.60
โรค
โรคความดันโลหิตสูงร่วมโรคอื่นๆ* 121 28.61
โรคความดันโลหิตสูง 107 25.30
โรคเบาหวานความดันโลหิตสูงและร่วมโรคอื่นๆ 64 15.13
โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง 61 14.42
โรคเบาหวาน 39 9.21
โรคเบาหวานร่วมโรคอื่นๆ 31 7.33
หมายเหตุ:โรคอื่นๆ หมายถึงโรคเรื้อรังที่ไม่ใช่โรค
เบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูง
2.คะแนนพฤติกรรมและเจตคติกำรเลือก
ใช้ยำและผลิตภัณฑ์เสริมอำหำร
ตำรำงที่2พฤติกรรมการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารของผู้สูงอายุ(N=423)
ข้อค�าถาม
ร้อยละของผู้ป่วยคะแนน
Mean±SDท�าสม�่าเสมอ
ท�าบางครั้ง
ไม่เคยท�า
1.กินยาสมุนไพรหรือยาแผนโบราณร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อช่วยรักษาโรคที่เป็นอยู่
2.10 29.30 68.60 2.66±0.516
2.กินยาลูกกลอนยาต้มยาหม้อแทนยาแผนปัจจุบัน
0.50 15.10 84.40 2.84±0.380
3.กินอาหารเสริมร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อช่วยรักษาโรคที่เป็นอยู่
1.40 21.00 77.50 2.76±0.459
4.ซื้ออาหารเสริมที่มีตวัแทนหรอืบรษิทัมาขายที่บ้านหรือในหมู่บ้าน
0.20 9.50 90.30 2.90±0.307
5.ซื้ออาหารเสริมหรือยาแผนโบราณที่โฆษณาผ่านวิทยุหรือโทรทัศน์
0.20 7.80 92.00 2.92±0.284
6.ซื้อยาชุดจากร้านยาหรือร้านช�ามากินเมื่อเจ็บป่วยไม่สบาย
1.90 20.80 77.30 2.75±0.473
พฤติกรรมเฉลี่ยคะแนนเต็ม3(ท�าเสมอ=1คะแนน,ท�าบางครั้ง=2,ไม่เคยท�า=3)
2.80±0.09
ตำรำงที่ 3 เจตคติการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารของผู้สูงอายุ(N=423)
ข้อค�าถาม
ร้อยละของผู้ป่วยคะแนน
Mean±SDเห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย
1.การกินอาหารเสริมเพื่อช่วยรักษาโรคที่เป็นอยู่เช่นเบาหวานความดันโลหิตสูงเป็นสิ่งที่ปลอดภัย
5.40 32.20 62.40 2.57±0.60
2.การกินยาแผนโบราณไม่มีอันตราย
8.30 40.00 51.80 2.43±0.64
3.การกินยาชุดเมื่อมีอาการไม่สบายเช่นเกิดการอักเสบเป็นไข้ปวดเมื่อยช่วยให้หายจากโรคได้เร็วขึ้น
5.00 23.40 71.60 2.67±0.57
12วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
ข้อค�าถาม
ร้อยละของผู้ป่วยคะแนน
Mean±SDเห็นด้วย ไม่แน่ใจไม่เห็นด้วย
4.ยาสมุนไพรเป็นยาที่มีความปลอดภัยสามารถซื้อกินเองได้
8.00 30.00 61.90 2.54±0.64
5.ยาลูกกลอนยาต้มยาหม้อเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการป่วยเช่นปวดเมื่อยแก้อักเสบได้ดี
4.00 27.00 69.00 2.65±0.56
เจตคติเฉลี่ยคะแนนเต็ม3(เห็นด้วย=1คะแนน,ไม่แน่ใจ=2,ไม่เห็นด้วย=3)
2.57±0.09
3. กำรหำปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อ
พฤตกิรรมกำรเลอืกใช้ยำและผลติภณัฑ์เสรมิอำหำร
ปัจจัยด้านโรคประจ�าตัวที่เป็นและจ�านวน
สมาชิกในครัวเรือนส่งผลต่อพฤติกรรมการกินยา
สมนุไพรหรอืกินยาแผนโบราณร่วมกบัยาแผนปัจจบุนั
เพื่อช่วยรักษาโรคท่ีเป็นอยู่ และพฤติกรรมการซ้ือ
ยาชุดจากร้านขายยาหรือร้านช�ามากินเม่ือเจ็บป่วย
ไม่สบาย อย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05
ส่วนปัจจัยด้านเพศ อายุ การศึกษา ไม่ส่งผลต่อ
พฤติกรรมการเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
รายละเอียดในตารางที่4
ตำรำงที่4ปัจจัยส่วนบคุคลทีม่ผีลต่อพฤตกิรรมการ
เลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(*p
13 วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNALปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน์ - กันย�ยน 2563
ข้อค�าถาม เพศ อายุการศึกษา
โรคประจ�าตัวที่เป็น
จ�านวนสมาชิกในครัวเรือน
2.การกินยาแผนโบราณไม่มีอันตราย
0.216 0.196 0.569 0.002* 0.221
3.การกินยาชุดเมื่อมีอาการไม่สบายเช่นเกิดการอักเสบเป็นไข้ปวดเมื่อยช่วยให้หายจากโรคได้เร็วขึ้น
0.333 0.923 0.100 0.324 0.152
4.ยาสมุนไพรเป็นยาที่มีความปลอดภัยสามารถซื้อกินเองได้
0.249 0.190 0.377 0.090 0.141
5.ยาลูกกลอนยาต้มยาหม้อเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการป่วยเช่นปวดเมื่อยแก้อักเสบได้ดี
0.616 0.692 0.643 0.028* 0.002*
p
14วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
(ปิยะวัน,ปวีณา,หรรษาและวรัญญา,2559)พบ
ปัญหาพฤตกิรรมการใช้ยาโดยผูส้งูอายซุือ้ยาเพิม่เอง
ร้อยละ21.2การใช้ยาแผนโบราณร้อยละ19.1การใช้
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร้อยละ14.2แต่การศึกษานี้
พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการซ้ือผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารจากตัวแทนขายน้อยกว่าการศึกษา
พฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของ
ผูป่้วยเบาหวานในเขตเทศบาลต�าบลวารชิภมูิอ�าเภอ
วาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ที่พบว่าแรงจูงใจที่ท�าให้
ตดัสนิใจรับประทานผลติภณัฑ์เสรมิอาหารคอืตวัแทน
ขายตรงถงึร้อยละ48.65และซือ้จากตวัแทนขายตรง
ร้อยละ54.05ดังนั้นการให้ความรู้กับผู้สูงอายุหรือ
ผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพ่ือให้เกิดความตระหนักถึงปัญหา
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่จ�าเป็น
การศึกษานี้พบว่าผู้สูงอายุมีเจตคติต่อการ
ใช้ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารระดับ
คะแนนเฉลี่ย2.57±0.09คะแนน (คะแนนเต็ม3)
โดยคะแนนเฉลี่ยเจตคติของการศึกษาน้ีคะแนนสูง
กว่าการส�ารวจการใช้ยาปฏิชีวนะและผลิตภัณฑ์
สขุภาพทีผ่สมสเตยีรอยด์ในผูส้งูอายุทีมี่ระดบัคะแนน
เฉลี่ย 9.1±2.3 (คะแนนเต็ม 15) (ชมพูนุกท และ
คณะ,2562)แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุตามการศึกษา
น้ีส่วนใหญ่มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ยาและผลิตภัณฑ ์
เสริมอาหาร สอดคล้องกับการใช้ยาในผู้สูงอายุทีมี
โรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคความดันโลหิตสูงของ
ประเทศออสเตรเลีย(Kyrillos,2010)ที่พบว่าผู้สูง
อายุจะซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากินเอง
เป็นจ�านวนน้อยเนือ่งจากเห็นว่าโรคท่ีตนเองเป็นอยู่
ในปัจจุบันมีอันตรายร้ายแรง
ผู้สูงอายุเห็นด้วยต่อการกินยาลูกกลอน
ยาต้มยาหม้อเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการป่วยเช่น
ปวดเมื่อยแก้อักเสบได้ดีร้อยละ4.00และเห็นด้วย
กับการกินยาแผนโบราณไม่มีอันตรายร้อยละ 8.30
แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุควรระมัดระวังต่อการกิน
ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษา
โรคเรื้อรังที่ตนเองเป็น
โรคประจ�าตัวที่เป็นและจ�านวนสมาชิก
ในครวัเรือนทีผู่สู้งอายพุกัอาศยัอยูด้่วยกนัเป็นปัจจยั
ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินยาสมุนไพรหรือยา
แผนโบราณร่วมกับยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรค
ที่เป็นอยู่ พฤติกรรมการซื้อยาชุดจากร้านยาหรือ
ร้านช�ามากินเมื่อเจ็บป่วยไม่สบาย และเจตคติ ต่อ
การกินยาลูกกลอน ยาต้ม ยาหม้อ เป็นยาที่ช่วย
บรรเทาอาการป่วยเช่นปวดเมื่อยแก้อักเสบได้ดี
ปัจจัยโรคประจ�าตัวที่เป็น ส่งผลต่อเจตคต ิ
ต่อการกนิยาแผนโบราณไม่มอีนัตรายแสดงให้เหน็ว่า
ลกัษณะอาการของโรคทีเ่ป็นส่งผลต่อการเลอืกใช้ยา
และผลติภัณฑ์เสรมิอาหารส่วนปัจจยัจ�านวนสมาชิก
ในครอบครวัมผีลต่อการกนิอาหารเสรมิเพือ่ช่วยโรค
ที่เป็นอยู่เช่นเบาหวานข้อเสื่อมเป็นสิ่งที่ปลอดภัย
สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยสูงอายุ
โรคเร้ือรงัในชมุชนเชียงทองต�าบลระแหงอ�าเภอเมอืง
จังหวัดตาก (จิตชนก, 2556) ที่พบว่าปัจจัยที่มีผล
ต่อพฤตกิรรมการใช้ยาของผูส้งูอายคุอืจ�านวนชนดิยา
ทีใ่ช้ต่อวนักบัการบรหิารยาของโรคทีเ่ป็นซึง่สามารถ
เทียบเคียงได้กับการศึกษานี้
กำรน�ำผลกำรวิจัยไปใช้
ผลการศึกษาท่ีได้สามารถน�าไปวางแผน
ในการด�าเนนิงานคุม้ครองผูบ้รโิภคเรือ่งการให้ความรู้
เพ่ิมเติมในเรื่องโรคเร้ือรังแก่ผู้สูงอายุ ทั้งในเรื่อง
ความรูค้วามเข้าใจในการใช้ยาแผนโบราณยาสมนุไพร
15 วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNALปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน์ - กันย�ยน 2563
และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพ่ือให้ผู้สูงอายุซ่ึงป่วย
เป็นโรคเบาหวานและความดนัโลหติสูงมีความเข้าใจ
ท่ีถูกต้องมากขึ้นในการใช้ยาแผนปัจจุบันร่วมกับยา
ทางเลอืกเหล่านัน้นอกจากน้ีปัจจยัด้านจ�านวนสมาชกิ
ในครวัเรอืนนัน้สมาชกิในครวัเรอืนทีม่ผีูป่้วยโรคเร้ือรัง
เบาหวานความดนัโลหติสูงควรจะได้รับความรู้ความ
เข้าใจต่อการใช้ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ ์
เสริมอาหารในการใช้ร่วมกันเพื่อการรักษาโรคของ
ผู้สูงอายุ สามารถน�าผลที่ได้จากการศึกษานี้ไปใช ้
ส�าหรับการวางแผนการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ในร้านยาหรือในร้านช�าเพราะจากการศึกษายัง
พบปัญหาผูส้งูอายทุมีีโรคประจ�าตวัความดนัโลหิตสูง
หรือโรคเบาหวาน ยังมีพฤติกรรมซื้อยาชุดจาก
ร้านยาหรือร้านช�ามากินเมื่อเจ็บป่วยไม่สบาย
ข้อเสนอแนะในกำรท�ำวิจัยครั้งต่อไป
การส�ารวจตามแบบสอบถามนีเ้ป็นการส�ารวจ
ในหมูบ้่านซึง่เป็นเขตชนบททีผู่ส้งูอายมีุความใกล้ชิด
กับผู้ให้บริการของโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพต�าบล(รพ.สต.)จึงควรขยายผลการ
ศึกษาในพื้นที่อื่น ๆ และหาปัจจัยอื่นท่ีอาจมีผล
ต่อพฤติกรรมและเจตคติต่อการเลือกใช้ยาและ
ผลติภณัฑ์เสรมิอาหารของผูส้งูอายทุีป่่วยเป็นโรคเรือ้รงั
เช่นรายได้ของกลุม่ตวัอย่างสทิธกิารรกัษาพยาบาล
เป็นต้นเพ่ือน�ามาวางแผนการดแูลรักษาผูป่้วยต่อไป
กิตติกรรมประกำศ
การวิจัยครั้งนี้ส�าเร็จด้วยดี ได้รับความ
อนุเคราะห์จากผู้ให้ข้อมูลและผู้ประสานงานประจ�า
อ�าเภอทุกท่าน ภญ.ภควดี ศรีภิรมย์, ภญ.สรียา
เวชวิฐาน ส�านักงานคณะกรรมการอาหารและยา,
ภญ.พรชนก เจนศิริศักดิ์ ส�านักงานสาธารณสุข
จังหวัดพัทลุงที่ให้ค�าปรึกษาในการท�าวิจัยและขอ
ขอบคุณภก.ณัษฐ์พงษ์พัฒนพงศ์หัวหน้ากลุ่มงาน
คุ้มครองผู้บริโภค ที่ได้ให้การสนับสนุนการท�างาน
จนบรรลุผลส�าเร็จ
เอกสำรอ้ำงอิง
กมลภูถนอมสัตย์,วิไลตาปะสี.(เมษายน-มิถุนายน
2558).รูปแบบการปรับพฤติกรรมการใช้ยา
รักษาตามแผนการรกัษาของผูส้งูอายคุวาม
ดันโลหิตสูงในชุมชน. วารสารวิจัยเพื่อการ
พัฒนาเชิงพื้นที่,7(2),37-49.
กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2563). สถิติผู้สูงอายุของ
ประเทศไทย.ค้นเมือ่กุมภาพนัธ์1,2563,จาก
http://www.dop.go.th/th/know/1/275
กระทรวงสาธารณสุข. (2562). ประชากรทะเบียน
ราษฎร์ จ�าแนกรายอายุและเพศ. ค้นเมื่อ
กุมภาพันธ์14,2563,จากhttps://hdc
service.moph.go.th/hdc/main/index.
php
จิตชนก ลี้ทวีสุข. (2556). พฤติกรรมการใช้ยาของ
ผู้ป่วยสูงอายุโรคเรื้อรัง ในชุมชนเชียงทอง
ต�าบลระแหง อ�าเภอเมือง จังหวัดตาก.
ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชัน้คลินกิโรงพยาบาล
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช.
ชมพูนุทเสียงแจ้วคชาพลนิ่มเดชนาฎยาสุวรรณ
พุทธชาติ มากชุมนุม วิโรจน์ ทองฉิม
ณัฐนันท์เพชรประดิษฐ์.(ม.ค.-มี.ค.2562).
การส�ารวจการใช้ยาปฏชีิวนะและผลติภณัฑ์
สุขภาพทีผ่สมสเตยีรอยด์ในผู้สูงอาย.ุวารสาร
วิชาการแพทย์เขต11.1,231-242.
16วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
ปิยะวัน วงบุญหนัก, ปวีณา ว่องตระกูล, หรรษา
มหามงคล,วรัญญาเนียมข�า.(ก.ค.-ธ.ค.
2559). การส�ารวจปัญหาและพฤติกรรม
การใช้ยาผลิตภณัฑ์เสรมิอาหารและสมนุไพร
ของผู้สูงอายุ กรณีศึกษาชุมชนศีรษะจรเข้
น้อยจังหวัดสมุทรปราการ.วารสารมฉก.
วิชาการ.39,97-108.
วชัิยเอกพลากร.(ม.ป.ป.).รายงานการส�ารวจสขุภาพ
ประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย
ครั้งที่4พ.ศ.2551-2552.(เจริญผลพงษ์
พานิช,บ.ก.)กรุงเทพฯ:ส�านักงานส�ารวจ
สุขภาพประชาชนไทย.
ศิรสาเรืองฤทธิ์ชาญกุล.(มกราคม-มีนาคม2561).
การใช้ยาร่วมกันหลายขนานในผู้สูงอายุ.
รามาธิบดีเวชสาร.41(1).
สมใจผ่านภูวงษ์,กรแก้วจันทภาษา.(2556).พฤติกรรม
การบรโิภคผลติภณัฑ์เสรมิอาหารของผูป่้วย
เบาหวานในเขตเทศบาลต�าบลวาริชภูมิ
อ�าเภอวาริชภูมิจังหวัดสกลนคร.The 5th
Annual Northeast Pharmacy Research
Conference of 2013 “Pharmacy
Profession:Moving Forward to ASEAN
Harmonization”(หน้า155-159).ขอนแก่น:
คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
HDC - Dashboard. (2562). อัตราการป่วยด้วย
โรคเบาหวาน เขตสุขภาพที่ 12 จังหวัด
พทัลงุ.ค้นเม่ือพฤศจกิายน30,2562,จาก
กลุม่รายงานมาตรฐาน:shorturl.at/duvP6
Kyrillos Guirguis. (2010, July). The use of
nonprescriptionmedicines among
elderlypatientswithchronicillness
and their need for pharmacist
interventions. The consultant
pharmacist.25(7),433-439.
RameshwarNathChaurasia,AlokKumarSingh,
I S Gambhir. (2005, Sep). Rational
DrugTherapy inElderly. Journalof
theindianacademyofgeriatrics.1(2),
82-88.
Riana Rahmawati, Beata V Bajorek. (2017,
April).Self-medicationamongpeople
livingwith hypertension: a review.
FamilyPractice.34(2),147-153.
17 วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNALปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน์ - กันย�ยน 2563
กำรพัฒนำรูปแบบกำรดูแลสุขภำพตนเองด้วยเทคนิคกำรวำงแผนแบบมีส่วนร่วม
ในผู้ป่วยเบำหวำนที่มำรับบริกำรณคลินิกเบำหวำนโรงพยำบำลมหำรำชนครศรีธรรมรำช
ModelDevelopmentofSelf-CarebyusinganAppreciationInfluence
Control(AIC)TechniqueamongDiabeticPatientsatMaharaj
NakhonSiThammaratHospitalไรนำรัตนพฤกษ์ขจร
RainaRatanaprukajon
โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
MaharatNakhonSiThammaratHospital
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research)
มวีตัถปุระสงค์เพือ่พฒันารปูแบบการดแูลสขุภาพตนเองด้วยเทคนคิการวางแผนแบบมส่ีวนร่วม(Appreciation
Influence Control : AIC) ในผู้ป่วยเบาหวาน และเพ่ือทดสอบประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการดูแล
สุขภาพตนเองด้วยเทคนิคการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (AIC) ในผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการณ คลินิก
เบาหวานโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชโดยด�าเนินการวิจัย2ขั้นตอนคือ
1. ขั้นตอนโปรแกรมการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพตนเอง โดยประยุกต์ใช้กระบวนการเทคนิค
การวางแผนแบบมีส่วนร่วม AIC 6 ขั้นตอน 1) การน�าเสนอข้อมูลสภาพปัญหา 2) การก�าหนดเป้าหมาย
3)การค้นหากิจกรรมการพัฒนา4)จัดล�าดับความส�าคัญ5)วางแผนหาผู้รับผิดชอบ6)จัดท�าแผน/กิจกรรม/
โครงการในกลุ่มทดลองที่ใช้คัดเลือกแบบเจาะจง(Purposivesampling)คือผู้ป่วยเบาหวานในกลุ่มทดลอง
50คนโดยมีผู้วิจยัและผูช้่วยวิจยัจ�านวน16คนประกอบดว้ยผูร้ับผดิชอบคลนิิกผู้ป่วยเบาหวานโรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพต�าบลเครือข่าย แพทย์ เภสัชกร พยาบาลประจ�าคลินิกผู้ป่วยเบาหวาน พยาบาลจิตเวช
นักโภชนากรนักกายภาพบ�าบัดเป็นกระบวนกรในการด�าเนินกระบวนการ
2.ขัน้ตอนการศกึษาผลของการใช้รูปแบบการดแูลสขุภาพตนเองด้วยเทคนคิAICของผูป่้วยเบาหวาน
คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยเบาหวานแบบเจาะจง (Purposive sampling) จ�านวน 100 คน โดยสุ่มแบบ
อย่างง่าย (Simple random) เข้ากลุ่มทดลอง 50 คน กลุ่มควบคุม 50 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการใช ้
รูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองด้วยเทคนิคAICจ�านวน1ครั้งส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วย1)แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป
2)แบบสอบถามการรบัรูเ้รือ่งโรคเบาหวานปัจจยัเส่ียงในการเป็นโรคเบาหวานการรกัษาภาวะแทรกซ้อนและ
การปฏบิติัตัว3)แบบสอบถามการรบัรูค้วามสามารถในการดแูลตนเอง4)แบบสอบถามการปฏบิตัใินการดแูล
18วารสารสาธารณสุขมูลฐานภาคใต้SOUTHERN REGIONAL PRIMARY HEALTH CARE JOURNAL ปีที่ 34 ฉบับที่ 3 ประจำ�เดือน มิถุน�ยน - กันย�ยน 2563
ตนเอง และ 5) ระดับน�้าตาลในเลือด เครื่องมือได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (CVI) จาก
ผู้ทรงคุณวุฒิ3ท่านได้ค่าCVI=0.96และทดสอบความเที่ยง(Reliability)ของแบบสอบถามล�าดับที่2-4
โดยการทดสอบสมัประสทิธิแ์อลฟาของครอนบาค(AlphaCronbachCoefficient)กบัผูป่้วยเบาหวาน30คน
ได้เท่ากับ0.81,0.78และ0.83ตามล�าดับวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการทดสอบค่าที่อิสระ
ผลการศึกษาพบว่า
1. ผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของกลุ่มทดลองด้วยกระบวนการ AIC มี 2 รูปแบบคือ
1)รูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวานและญาติหรือผู้ดูแลประกอบด้วยการปฏิบัติพฤติกรรม
สุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน 5 ด้าน คือด้านการรับประทานอาหาร การออกก�าลังกาย การดูแลเท้า
การรับประทานยา/ฉีดยาและการจัดการอารมณ์2)รูปแบบการดูแลส�าหรับทีมสุขภาพโรงพยาบาลมหาราช
และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�าบลเครือข่าย ประกอบด้วยการประเมิน ติดตาม พฤติกรรมสุขภาพของ
ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการสนับสนุนทางสังคมแก่ผู้ป่วย�