คำนำ
คำนำ
“บ้าน” เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อน
และโดยทั่วไปบ้านจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นเช่น หลอดไฟฟ้า โทรทัศน์
พัดลม ตู้เย็น เตารีด และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก เช่น
เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น
ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น
ดังนั้นหากรู้จักวิธีใช้
หรือรู้จักเลือกซื้อก็จะช่วยประหยัดพลังงานและค่าใชจ่ายสำหรับครอบครัวได้จากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบัน
ส่งผลทำให้หลายบ้านต้องสำรวจและควบคุมค่าใช้จ่าย
ในการครองชีพของตัวเองไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ตลอดจนค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณูปโภค
เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าน้ำมันรถ
เพื่อให้เพียงพอกับเงินรายได้ที่ตนได้รับ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าไฟฟ้านั้น
เรามีวิธีตรวจสอบค่าใช้จ่ายว่า เราใช้ไฟฟ้าไปกี่หน่วย
จะต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนเงินเท่าไร
อีกทั้งยังสามารถหาแนวทางการประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย
สารบัญ
แนวทางการประหยัดพลังงานในบ้าน.................................................................3
วิธีคิดค่าไฟ..........................................................................................................11
บิลค่าไฟเดือนมิถุนายน.......................................................................................15
บิลค่าไฟเดือนกรกฎาคม......................................................................................16
บิลค่าไฟเดือนสิงหาคม........................................................................................17
ตารางแสดงการเปรียบเทียบค่าไฟฟ้า...................................................................18
วิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................................................19
บรรณานุกรม........................................................................................................20
แนวทางการประหยัดพลังงานในบ้าน
1. ออกแบบบ้านและหันทิศทางของบ้านให้เหมาะสม
เลือกซื้อบ้านหรือออกแบบบ้านที่มีลักษณะโปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวกมีการระบายความร้อนได้ดีสำหรับทิศทางของบ้านควรหันหน้าไปในแนวทิศเหนือ-ใต้
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แสงอาทิตย์เข้าสู่ช่องเปิดของตัวบ้านโดยตรงหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้อุปกรณ์บังแสงแดด
เช่น ติดตั้งกันสาดหรือปลูกต้นไม้ช่วย
2. สร้างบ้านด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี
โดยสร้างให้ตั้งแต่หลังคาจนถึงผนัง
3.
จัดวางตำแหน่งพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจากแสงแดดตามลักษณะการใช้งาน(
ห้องนอน ควรตั้งอยู่ทิศตะวันออก
เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงบ่าย(
ห้องเก็บของ ที่จอดรถ ห้องซักผ้า ห้องน้ำ ห้องครัว ควรอยู่ทิศตะวันตก
เพื่อเป็นส่วนกันความร้อนเข้าตัวบ้าน(
ห้องพักผ่อนหรือห้องที่ต้องใช้งานอยู่ทั้งวัน ควรตั้งอยู่ทางทิศเหนือ
เพราะจะถูกแสงแดดน้อยกว่าด้านอื่น ๆ
ห้องรับแขก(
ควรตั้งอยู่ในแนวทิศเหนือ – ใต้ ห้องนั่งเล่น
ควรตั้งอยู่ในทิศใต้(
โดยอาจทำระเบียงและพุ่มไม้เพื่อป้องกันแสงแดด
4. ปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่ตัวบ้าน
ช่วยเพิ่มร่มเงาให้กับตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบายขึ้น
จึงช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศลง
5. เลือกซื้อแต่อุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน เช่น
เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 หรือตู้เย็นที่มีฉลากเบอร์ 5 ใหม่
2001 ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่าเบอร์ 5 เดิมร้อยละ 20 เป็นต้น
6. ใช้น้ำอย่างประหยัด
น้ำประปาที่เราใช้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติแต่ผ่านกระบวนการกรองและฆ่าเชื้อจนสะอาดและบริโภคได้
ซึ่งต้องอาศัยพลังานในกระบวนการเหล่านั้น
การใช้น้ำอย่างประหยัดจึงเป็นการประหยัดพลังงานด้วย(
ใช้หัวก๊อกน้ำที่มีอุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของน้ำ(
ปิดก๊อกน้ำในระหว่างแปรงฟัน สระผม
หรือโกนหนวด(
ใช้ไม้กวาดในการกวาดพื้น
แทนการใช้น้ำฉีดเพื่อทำความสะอาด(
ล้างรถด้วยฟองน้ำและรองน้ำใส่ถัง
แทนการใช้สายยางฉีดน้ำโดยตรง(
ใช้น้ำจากการซักล้าง เช่น น้ำสุดท้ายของการซักผ้า
หรือน้ำจากการถูพื้นเพื่อรดน้ำต้นไม้ แทนการใช้น้ำประปา
7.
การใช้เตาก๊าซ(
ควรเลือกใช้ถังก๊าซที่มีเครื่องหมายสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
(
ตั้งเตาก๊าซให้ห่างจาถังก๊าซโดยใช้สายยาง
หรือสายพลาสติกให้มีความยาวห่างจากถังก๊าซประมาณ 1-1.5
เมตร( เมื่อเลิกใช้
ปิดวาล์วที่ตัวถังก่อน แล้วจึงปิดปิดวาล์วที่ตัวเตา
8. การใช้เตาถ่าน
ควรเลือกใช้เตาถ่านชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง(
ซึ่งจะมีลักษณะขอบเตาเรียบเสมอกัน เส้าของเตามีส่วนลาดมากกว่า
ทำให้ใช้กับหม้อได้หลายขนด มีช่องบรรจุถ่านไม่กว้างใหญ่เกินไป
มีรังผึ้งที่หนาทนทาน และรูรังผึ้งเล็กจึงช่วยรีดอากาศได้ดี
เตรียมกาหารสด
เครื่องปรุง(
และอุปกรณ์การทำอาหารให้พร้อมก่อนติดไฟรอนานเกินไปจะสิ้นเปลืองถ่าน(
เลือกขนาดของหม้อหรือกระทะให้เหมาะสมกับปริมาณและประเภทของอาหารที่จะปรุง(
ควรทุบถ่านให้มีขนาดพอเหมาะ คือ ชิ้นละประมาณ 2 – 4 ซม.
(ไม่ควรใส่ถ่านมากจนล้นเตาเก็บรักษาถ่านอย่าให้เปียกชื้น
(
เพราะถ่านจะติดไฟยากและแตกประทุทำให้สิ้นเปลือง
(
ขจัดขี้เถ้าในรังผึ้งและใต้รังผึ้งออกให้หมดก่อนที่จะติดเตาใหม่ทุกครั้ง
จะทำให้การเผาไหม้ถ่านดีขึ้น
9.
การใช้หลอดแสงสว่าง(
ปิดไฟเมื่อใช้งาน
หมั่นทำความสะอาดหลอดแสงสว่างและโคมไฟ( (
ใช้หลอดแสงสว่างเท่าที่จำเป็น(
สำหรับสถานที่ที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดคืน
ควรใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์(
บริเวณใดที่เคยใช้หลอดไส้ในการให้แสงสว่าง
ควรหันมาเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
ใช้หลอดประหยัดพลังงาน(
เช่น หลอดผอม (หลอดฟลูออเรสเซนต์) ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไส้ 4
– 5 เท่า และมีอายุการใช้งานมานกว่า 8 เท่า
ใช้แสงอาทิตย์แทนการเปิดหลอดไฟ
เช่น( ห้องครัว
ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ทางเดิน
เป็นต้น(
ควรทาสีผนังห้องหรือเลือกวัสดุพื้นห้องที่เป็นสีอ่อน ๆ
เพื่อช่วยสะท้อนแสงสว่างภายในห้อง
10.
การใช้ตู้เย็น(
เลือกใช้ตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ใหม่ 2001
ซึ่งประหยัดไฟกว่าเบอร์ 5 เดิม ร้อยละ 20
เลือกใช้แบบที่มีฉนวนกันความร้อนชนิดโฟมฉีด( (
ตู้เย็นแบบประตูเดียว จะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบ 2
ประตูในขนาดที่เท่ากัน(
อย่าติดตั้งตู้เย็นใกล้แหล่งความร้อน(
ควรตั้งห่างจากฝาผนังทั้งด้านหลังและด้านข้างไม่น้อยกว่า 15 ซม.
เพื่อให้มีการระบายความร้อนได้ดีC( ควรตั้งอุณหภูมิภายในตู้เย็น 3 -
6( C(C
ถ้าตั้งไว้เย็นกว่าที่กำหนด 1(และในช่องแช่แข็งระหว่างลบ 15 - 18
จะสิ้นเปลืองไฟเพิ่มขึ้นร้อยละ 25
อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย(
หรือเปิดประตูค้างไว้นาน ๆ
(
อย่านำของที่มีความร้อนเข้าไปแช่
ละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ(
11. การใช้เครื่องปรับอากาศ
เลือกขนาดที่เหมาะสม(
ตัวอย่างเช่นห้องที่มีความสูงไม่เกิน 3 เมตร และมีพื้นที่ห้องขนาด 13
– 15 ตร.ม. ควรใช้ขนาด 7,000 – 9,000 บีทียู/ชั่วโมง ขนาดพื้นที่ 16 –
17 ตร.ม. ควรใช้ขนาด 9,000 – 11,000 บีทียู/ชั่วโมง
เป็นต้น(
ใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสุดซึ่งแสดงด้วยหน่วย EER(Energy
Efficiency Ratio) คือ
อัตราส่วนระหว่างความสามารถในการให้ความเย็นของเครื่องต่อกำลังไฟฟ้า
(บีทียู/ชั่วโมง/วัตต์) ซึ่งเครื่องที่มีค่า EER สูงจะให้ความเย็นมาก
และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเครื่องที่มีค่า EER
ต่ำ(
หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ ไม่ให้มีฝุ่นจับ
เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลง(
เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
12. การใช้เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
ควรเลือกชนิดที่มีที่เก็บความร้อน(
เพราะจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบไหลผ่านขดลวดความร้อน
(
เลือกขนาดของเครื่องให้เหมาะสมกับครอบครัวและความจำเป็นในการใช้(
ไม่เปิดเครื่องตลอดเวลา
ในการฟอกสบู่อาบน้ำหรือขณะสระผม(
ปิดวาล์วน้ำและสวิตซ์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน(
ควรให้เฉพาะวันที่มีอากาศเย็น หรือเท่าที่จำเป็น
13.
การใช้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าหรือกาต้มน้ำไฟฟ้า(
ใส่น้ำให้พอเหมาะกับปริมาณที่ต้องการใช้
และถ้าจำเป็นต้องต้มน้ำต่เนื่องระวังอย่าให้น้ำแห้ง(
เมื่อเลิกใช้ควรถอดปลั๊กทันที
ไม่ต้มน้ำในห้องที่มีการปรับอากาศ(
เพราะไปเพิ่มความชื้นและความร้อนในห้อง
ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก สิ้นเปลืองไฟ
ไม่ควรนำน้ำที่มีความเย็นมาก
ๆ(
ไปต้มทันทีจะสิ้นเปลืองไฟ
ระวังอย่าให้มีตะกรันเกาะด้สนในตัวกระติก(
จะทำให้สิ้นเปลืองไฟในการต้มน้ำมากกว่าเดิม ไม่นำสิ่งใด
ๆ(
ปิดช่องไอน้ำออก
14.
การใช้เตาไฟฟ้า(
ควรเตรียมเครื่องประกอบอาหารให้พร้อม
รวมทั้งลำดับการปรุงอาหาร(
ไม่ควรเปิดเตาไฟฟ้ารอไว้นานเกินไป
ใช้ภาชนะประกอบอาหารให้เหมาะสม( •
ภาชนะควรมีก้นแบนราบ จะได้สัมผัสความร้อนได้ทั่วถึง•
ภาชนะไม่ควรมีขนาดเล็กกว่าเตา จะสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์•
ภาชนะควรมีฝาครอบปิดขณะหุง
จะช่วยให้อาหารเสร็จเร็วขึ้น(
ปิดสวิตซ์เตาไฟฟ้าก้อนเสร็จสิ้นการทำอาหาร
ถอดปลั๊กออกทันที(
เมื่อเลิกใช้
15. การใช้เตารีด ( ควรเตรียมอาหารที่จะอบหลาย ๆ
อย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน อย่าเปิดเตาบ่อย ๆ
(
เพราะการเปิดประตูแต่ละครั้งจะสูญเสียพลังงานประมาณร้อยละ
20(
ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม
อย่าตั้งสูงเกินความจำเป็นเพราะจะสิ้นเปลืองไฟ(
ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อเลิกใช้
16.
การใช้เตารีดไฟฟ้า(
ควรตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมกับชนิดผ้าและแบ่งผ้าชนิดเดียวกันไว้ด้วยกันเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับเปลี่ยนการตั้งอุณหภูมิบ่อยครั้ง(
ควรรวบรวมผ้าไว้รีดคราวละมาก ๆ และพรมน้ำให้หมดทุกตัว
ก่อนจะรีดผ้าและรีดติดต่อกันจนเสร็จอย่าพรมน้ำจนเปียก
(
เพราะจะต้องทำให้ต้องรีดผ้านานกว่าเดิม
สิ้นเปลืองไฟฟ้า(
ควรถอดปลั๊กก่อนเสร็จสิ้นการรีดประมาษ 2 – 3
นาทีเนื่องจากยังมีความร้อนเหลือเพียงพอที่จะรีดผ้าที่รีดง่าย เช่น
ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ เวลาตากผ้าควรจัดรูปทรงผ้าและดึงให้ตึง
(
เพื่อให้เสื้อผ้ายับน้อยที่สุด จะทำให้รีดง่ายลดเวลาในการรีด
และประหยัดไฟฟ้า
17.
การใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า(
เลือกใช้ขนาดให้เหมาะสมกับครอบครัว- สมาชิก 1 – 2 คน ใช้ขนาด 0.3 –
1.0 ลิตร- สมาชิก 3 – 6 คน ใช้ขนาด 1.0 – 1.5 ลิตร- สมาชิก 5 – 8 คน
ใช้ขนาด 1.6 – 2.0 ลิตร
(ไม่ควรใช้เวลาในการอุ่นข้าวให้นานเกินควร
(
ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อเลิกใช้งาน
อย่าเปิดฝาหม้อในขณะที่ข้าวยังไม่สุก(
เพราะจะสูญเสียความร้อน หม้อหุงข้าวจะทำงานนานยิ่งขึ้น
สิ้นเปลืองไฟ
18.
การใช้โทรทัศน์(
โทรทัศน์สีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้เสียค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น(
โทรทัศน์ที่มีระบบรีโมทคอนโทรลจะใช้ไฟฟ้ามากกว่าระบบทั่งไปในขนาดเดียวกัน
เราะมีวงจรเพิ่มและใช้ไฟฟ้าตอดเวลาเมื่อยังเสียบปลั๊กอยู่
แม้ว่าจะไม่ใช้เครื่อง จึงควรปิดสวิตซ์ที่ตัวเครื่อง
ไม่ปิดด้วยรีโมทคอนโทรล(
ไม่ควรเสียบปลั๊กทิ้งไว้(
ปิดเมื่อไม่มีคนดู (
ควรตั้งเวลาปิดโทรทัศน์โดยอัตโนมัติ
เพราะจะช่วยประหยัดไฟสำหรับผู้ที่มักจะนอนหลับหน้าโทรทัศน์หรือลืมปิดเครื่อง(
ไม่เปิดโทรทัศน์โดยต่อสายผ่านเข้าเครื่องวีดีโอเพราะต้องสิ้นเปลืองไฟให้กับเครื่องวีดีโอโดยไม่จำเป็น
19. การใช้เครื่องซักผ้า
(
แช่ผ้าก่อนเข้าเครื่องเพราะสิ่งสกปรกจะออกง่ายขึ้นลดการซักผ้าซ้ำ
ไม่สิ้นเปลืองไฟ(
จำนวนผ้าที่ซักให้เป็นไปตามพิกัดของเครื่อง
อย่าใส่ผ้ามากเกินกำลังของเครื่อง
หรือซักจำนวนน้อยเกินไป(
ไม่ควรใช้เครื่องซักผ้าแบบที่มีเครื่องอบแห้งด้วยไฟฟ้าในตัว
เพราะสิ้นเปลืองไฟฟ้ามาก
ควรตากผ้ากับแสงแดดหรือในที่มีลมถ่ายเทได้ดี(
ตั้งโปรแกรมที่ใช้น้ำร้อนเมื่อจำเป็นเท่านั้น
เพราะใช้ไฟมาก(
ตั้งโปรแกรมการซักผ้าให้เหมาะสมกับชนิดของผ้าทุกครั้ง
20.
การใช้เครื่องปั๊มน้ำ(
เลือกซื้อเครื่องปั๊มน้ำที่มีถังความดันของเครื่องป๊มน้ำขนาดใหญ่พอสมควรถ้าเล็กเกินไปสวิตซ์อัตโนมัติจะทำงานบ่อยขึ้น
มอเตอร์ทำงานมากขึ้นสิ้นเปลืองไฟ(
ควรสร้างบ่อพักน้ำไว้ระดับพื้นดิน(
หมั่นดูแลท่อน้ำประปาและถังพักน้ำของชักโครกอย่าให้ชำรุดหรือรั่ว
เมื่อมีรอยรั่วความดันลดลง เครื่องปั๊มทำงานหนัก
และบ่อยขึ้นสิ้นเปลืองไฟ ปิดก๊อกน้ำให้สนิททุกครั้ง
(
น้ำหยดหรือรั่วเพียงเล็กน้อยติดต่อกันนาน ๆ
ก็ทำให้ปั๊มน้ำเดินเครื่องได้
21. การใช้พัดลมระบายอากาศ(
อย่าเปิดทิ้งไว้ เมื่อไม่มีใครอยู่(
เปิดหน้าตางเพื่อใช้ลมธรรมชาติช่วยถ่ายเทอากาศในห้อง(
เลิกสูบบุหรี่ในห้อง
เพื่อลดการใช้พัดลมระบายอากาศ(
หมั่นทำความสะอาดใบพัดและตะแกรง
อย่าให้มีฝุ่นเกาะ(
ตั้งความเร็วพัดลมให้พอเหมาะ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป
จะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี
และเป็นการประหยัดไฟอีกด้วย(
ห้องที่จะติดเครื่องปรับอากาศควรเปิดประตูและหน้าต่าง
เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์ภายนอกเข้ามาแทนที่อากาศในห้อง
แทนการใช้พัดลมระบายอากาศ
22. การใช้พัดลม(
อย่าเปิดทั้งไว้เมื่อไม่มีใครอยู่(
ถ้าใช้พัดลมที่มีระบบรีโมทคอนโทรลต้องถอดปลั๊กทันทีเมื่อเลิกใช้(
ยิ่งเปิดลมแรงขึ้น ยิ่งใช้ไฟมากขึ้น ทำความสะอาดใบพัด ตะแกรงครอบ
(
และแผงหุ้มมอเตอร์พัดลม อย่าให้มีฝุ่นเกาะ
อย่าให้ใบพัดโค้งงอผิดส่วน
( ความแรงจะลดลง(
ตั้งพัดลมในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
23.
การใช้วิทยุและเครื่องเสียง(
อย่าเปิดวิทยุเพียงเพื่อเป็นเพื่อนโดยไม่ได้สนใจฟัง
สิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์(
อย่าเปิดวิทยุคู่กับการเปิดดูโทรทัศน์(
อย่าเสียบปลั๊กวิทยุไว้ใช้เพื่อดูเวลาหากมีนาฬิกาอื่น ๆ
ใช้ดูเวลาอยู่แล้ว(
เลิกปิดเครื่องโดยใช้รีโมทคอนโทรลให้ปิดจากสวิตซ์ที่เครื่องแทน(
ตั้งวิทยุและเครื่องเสียงให้ห่างจากเตาอบไมโครเวฟเพื่อไม่ให้ระบบการทำงานถูกคลื่นไมโครเวฟรบกวน(
เลือกซื้อรุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน
หากไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรุ่นที่มีระบบการทำงานหลายอย่างก็ไม่ควรเลือกซื้อรุ่นนั้น
เพราะสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากกว่าระบบธรรมดา
24. การใช้เครื่องดูดฝุ่น(
เมื่อใช้แล้วควรเทฝุ่นผงในถุงทิ้งทุกครั้งเพื่อเครื่องจะได้มีแรงดึงดูดดีและไม่เปลืองไฟ(
เลิกใช้เครื่องดูดฝุ่นกับพื้นบ้านที่ทำความสะอาดง่าย
ควรใช้ไม้กวาดและผ้าชุบน้ำถูพื้นแทน(
ก่อนใช้งานตรวจสอบข้อต่อของท่อดูดหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ
ให้แน่นไม่ให้เกิดการรั่วของอากาศ
มอเตอร์อาจทำงานหนักและไหม้ได้(
ห้ามดูดฝุ่นที่เป็นเศษแก้วเศษใบมีดหรือบุหรี่ที่กำลังติดไฟ
จะก่ออันตรายต่อตัวเครื่อง(
หมั่นถอดตัวกรองหรือตะแกรงดักฝุ่น ออกมาทำความสะอาดเพราะถ้าอุดตันจะดูดฝุ่นได้ไม่เต็มที่และสิ้นเปลืองไฟ(
เมื่อดูดฝุ่นเสร็จแล้วปล่อยให้เครื่องเย็นก่อนนำไปเก็บเพื่อยึดอายุการใช้งาน(
เปิดประตูหน้าต่างขณะดูดฝุ่น
เพื่อให้มีการระบายความร้อนของตัวเครื่องได้ดี(
เลือกขนาดเครื่องดูดฝุ่นตามความจำเป็นในการใช้งาน เช่น
ถ้าใช้ดูดฝุ่นสำหรับพื้นที่เป็นพรมหรือเก้าอี้ที่ทำด้วยผ้าควรใช้เครื่องทีมีกำลังดูดสูง
แต่ถ้าจะดูดฝุ่นที่ทั่ว ๆ ไปไม่ควรใช้เครื่องที่มีกำลังดูดสูง
25. การใช้คอมพิวเตอร์ ไม่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้นาน ๆ
(
เพราะทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้า
ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้( (
ปิดจอภาพเมื่อไม่ใช้งานนานเกินกว่า 15
นาที(
ตั้งคอมพิวเตอร์ในบริเวณที่มีการระบายความร้อนได้ดี ควรตั้งะบบ
Screen
( Saver
เพื่อรักษาคุณภาพของหน้าจอ(
ตรวจสอบดูว่าระบบประหยัดพลังงานในเครื่องถูกสั่งให้ทำงานแล้วหรือไม่ถ้ายังต้องสั่งให้ระบบนี้ทำงานเพราะจะช่วยประหยัดพลังงาน(
เลือกใช้คอมพิวเตอร์ที่มีระบบประหยัดพลังงาน โดยสังเกตจากสัญลักษณ์
Energy Star เพราะระบบนี้จะใช้กำลังไฟฟ้าลดลงร้อยละ 55
ในขณะที่รองาน(
ควรซื้อจอภาพที่ขนาดไม่ใหญ่เกินไป เช่น จอภาพขนาด 14 นิ้ว
จะใช้พลังงานน้อยกว่าจอภาพขนาด 17 นิ้ว ถึงร้อยละ
25(
คอมพิวเตอร์ชนิดกระเป๋าหิ้วประหยัดพื้นที่และประหยัดไฟได้มากกว่าแบบตั้งโต๊ะ
Electricity Tips
การคิดค่าไฟฟ้าด้วยตนเอง
ที่มา วารสารภายใน การไฟฟ้านครหลวง ปีที่ 18 ฉบับที่ 178
กรกฏาคม 2541
ก่อนที่เราจะทราบอัตราค่าไฟฟ้านั้น เราควรจะทราบว่า
เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ใช้ไฟฟ้าหรือกินไฟเท่าไหร่เสียก่อน
โดยสังเกตคู่มือการใช้งานหรือแถบป้ายที่ติดอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขียนว่า
กำลังไฟฟ้า มีหน่วยเป็นวัตต์ (Watt)
ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีจำนวนวัตต์มาก ก็กินไฟมากตามไปด้วย
ดังนั้นท่านสามารถคำนวณดูจากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในบ้านท่านว่ามีเครื่องใช้ไฟฟ้ากี่ชนิดแต่ละชนิดกินไฟกี่วัตต์
และเปิดใช้งานประมาณเดือนละกี่ชั่วโมง หลังจากนั้นท่านก็นำมาคิดคำนวณ
ท่านจะทราบว่าในแแต่ละเดือนท่านใช้ไฟฟ้าไปประมาณกี่หน่วยเพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดค่าไฟฟ้าได้
สำหรับการใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิตคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด
1,000 วัตต์ที่ใช้งานใน 1 ชั่วโมง หรือใช้สูตรการคำนวณดังนี้
กำลังไฟฟ้า (วัตต์)ชนิดนั้นๆ
x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ÷1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานใน
1 วัน = จำนวนหน่วยหรือยูนิต
ตัวอย่าง บ้านอยู่อาศัยทั่วไป
สมมุติว่าบ้านของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 6 อย่างดังต่อไปนี้
สังเกตจำนวนวัตต์เพื่v
คำนวณ การใช้ได้จากป้ายที่ติดหรือคู่มือของเครื่องใช้ไฟฟ้า
1. มีหลอดไฟฟ้าขนาด 40 วัตต์ (รวมบัลลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 50
วัตต์) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้ประมาณวันละ 6 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ
50x10÷1,000x6 = 3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x3)=90 หน่วย
2. หม้อหุงข้าว ขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบ เปิดใช้ประมาณวันละ 30
นาที จะใช้ไฟฟ้าวันละ 600x1÷1000x0.5=0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ
(30x0.3)=9 หน่วย
3. ตู้เย็น ขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 ตู้ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงาน 8 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 125x1÷1000x8= 1
หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x1)= 30 หน่วย
4. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 2,000 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ
12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ
2,000x1÷1000x8= 16 หน่วย หรือประมาณดือนละ (30x16)= 480 หน่วย
5. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 1,300 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง
เปิดใช้งานวันละ 8 ชั่วโมง สมมุติคอมเรสเซอร์ทำงานวันละ 5 ชั่วโมง
จะใช้ไฟฟ้าวันละ 1,300x1÷1,000x5= 6.5 หน่วย หรือประมาณวันละ (30x6.5)
= 195 หน่วย
6. เตารีดไฟฟ้า ขนาด 800 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 1
ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 800x1÷1000x1 = 0.8 หน่วย หรือประมาณเดือนละ
(30x0.8)= 24 หน่วย
7. ทีวีสีขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 3
ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 100x1 ÷x3 = 0.3 หรือประมาณเดือนละ (30x0.3)
= 9 หน่วย
8. เครื่องทำน้ำอุ่น ขนาด 4,500 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง
เปิดใช้งานวันละ 1 ชั่วโมงจะใช้ไฟฟ้าวันละ 4,500x1÷1000x1=4.5 หน่วย
หรือประมาณเดือนละ (30x4.5) = 135 หน่วย
9. เตาไมโครเวฟ ขนาด 1,200 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ
30 นาที จะใช้งานวันละ 1,200x1 ÷1000x0.5 = 0.6 หน่วย
หรือประมาณเดือนละ (30x0.6) = 18 หน่วย
ดังนั้นในแต่ละเดือนบ้านของท่านใช้ไฟฟ้าไปทั้งหมดประมาณ 990 หน่วย
จากนั้นท่านก็สามารถคำนวณค่าไฟฟ้าของท่านได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าดังนี้
อัตราค่าไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย
ซึ่งมีผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
1. ประเภทมีการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือนมีอัตรา
ดังต่อไปนี้ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ค่าไฟฟ้าต่ำสุด
คือ
ไม่มีการใช้ไฟฟ้า
4.67
บาท
5 หน่วย (กิโลวัตต์ชั่วโมง) แรก
(หน่วยที่ 1-5)
เป็นเงิน
4.96
บาท
10 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 6-15)
หน่วยละ
0.7124
บาท
10 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 16-25)
หน่วยละ
0.8993
บาท
10 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 26-35)
หน่วยละ
1.1516
บาท
65 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 36-100)
หน่วยละ
1.5348
บาท
50 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 101-150)
หน่วยละ
1.6282
บาท
250 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 151-400)
หน่วยละ
2.1329
บาท
เกินกว่า 400 หน่วย
(หน่วยที่ 401เป็นต้นไป)
หน่วยละ
2.4226
บาท
2 ประเภทปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 150
หน่วยต่อเดือนมีอัตราดังต่อไปนี้(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ค่าไฟฟ้าต่ำสุด คือ
ไม่มีการใช้ไฟฟ้า
เดือนละ
83.18
บาท
35 หน่วย(กิโลวัตต์ชั่วโมง)
(หน่วยที่ 1-35)
เป็นเงิน
85.21
บาท
115 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 36-150)
หน่วยละ
1.1236
บาท
250 หน่วยต่อไป
(หน่วยที่ 151-400)
หน่วยละ
2.1329
บาท
เกินกว่า 400 หน่วย
(หน่วยที่401เป็นต้นไป)
หน่วยละ
2.4226
บาท
ปัจจุบัน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
ยังไม่มีการปรับโครงสร้างค่ากระแสไฟฟ้าแต่อย่างใด
ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าที่ใช้ในปัจจุบันได้เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนมกราคม
2540 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามการคิดค่าไฟฟ้านั้น
มีปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะต้องมาคำนวณด้วย
นั้นก็คือค่าการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือที่เราเรียกว่าค่า
Ft (Energy Adjustment charge) หลายท่านคงสงสัยว่าค่า Ft คืออะไร
ความหมายของค่าดังกล่าวคือเป็นตัวประกอบ
ที่ใช้ในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติมีค่าเป็นสตางค์ต่อหน่วยใช้สำหรับปรับค่าไฟฟ้าที่ขึ้นลง
ในแต่ละเดือนโดยนำไปคูณ กับหน่วยการใช้ประจำเดือน ค่า Ft
ดังกล่าวอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ทั้งนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบได้จากใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้าประจำเดือนนั้นๆ
ตัวอย่างวิธีการคิดค่าไฟฟ้าสมมุติว่าเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.2
ใช้ไฟฟ้าไป 990 หน่วย
35 หน่วยแรก
85.21
บาท
115 หน่วยต่อไป
(115x1.1236 บาท)
129.21
บาท
250 หน่วยต่อไป
(250x2.1329 บาท)
533.22
บาท
ส่วนที่เกินกว่า 400 หน่วย
(990-400 = 590 x 2.4226 บาท)
1,429.33
บาท
รวมเป็นเงิน
2,176.97
บาท
คำนวณค่า Ft โดยดูได้จากใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน
หรือสอบถามจากการไฟฟ้านครหลวงตัวอย่าง
ค่า Ft มิถุนายน 2541 หน่วยละ
5.45 สตางค์
990 หน่วย x 0.05045 บาท
499.46
บาท
รวมเงิน
2,176.97+499.46 =
2,676.43
บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
= 2,676.43 x 7/ 100 =
187.35
บาท
รวมเป็นเงิน 2,863.78 บาท
ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ
2,863.75
บาท
หมายเหตุ
ในกรณีที่คำนวณค่าไฟฟ้าแล้วเศษสตางค์ที่คำนวณได้มีค่าต่ำกว่า 12.50
สตางค์ กฟน. จะทำการปัดเศษลง ให้เต็ม จำนวน ทุกๆ 25 สตางค์
และถ้าเศษสตางค์ มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 12.50 สตางค์
กฟน.จะปัดเศษขึ้นให้เต็มจำนวนทุก ๆ 25 สตางค์
สำหรับตัวอย่างการคิดค่าไฟฟ้าที่ให้มาข้างต้นนี้ท่านสามารถนำไปคำนวณการใช้ไฟฟ้าในบ้านของท่านได้
เพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดค่าไฟฟ้า
อย่างไรก็ตามการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพนั้น
ท่านควรรู้จักเลือกเครื่องไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน
และใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งจะช่วยให้ท่าน
สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก
ตารางแสดงการเปรียบเทียบค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2553 ถึง
เดือน สิงหาคม 2553
เดือน
หน่วย
ค่าFt
(บาท/หน่วย)
ค่าไฟ
มิถุนายน
464
0.9255
1739.99
กรกฎาคม
425
0.9255
1577.11
สิงหาคม
398
0.9255
1464.76
วิเคราะห์ข้อมูล
จากตารางจะเห็นได้ว่าเดือนที่มีค่าไฟมาที่สุดคือเดือน มิถุนายน
รองลงมาคือเดือนกรกฎาคม และเดือนที่มีค่าไฟน้อยที่สุดคือเดือน สิงหาคม
โดยสาเหตุที่ค่าไฟนั้นมีจำนวนน้อยลงประกอบด้วยสาเหตุหลายประการได้แก่
1.สาเหตุที่เดือนมิถุนายนมีค่าไฟสูงกว่าเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมนั้นเพราะมีแขกมาพักที่บ้านและกลับออกไปในประมาณกลางเดือนมิถุนายนทำให้ค่าไฟในเดือนมิถุนายนสูงกว่าในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม
2.สาเหตุที่เดือนกรกฎาคมมีค่าไฟสูงกว่าเดือนสิงหาคมเพราะเนื่องจากเดือนสิงหาคมผมไม่ค่อยได้อยู่บ้าน(ค่าไฟจึงน้อยลง)
โดยวันที่ผมไม่อยู่คือวันเสาร์และวันอาทิตย์
ของทั้งเดือน(ไปทำงานบ้านเพื่อน)และวันศุกร์
เสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือนผมไปเข้าค่ายวิทย์-คณิตอีกด้วย
3.สาเหตุที่ค่าไฟเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม
ลดลงตามลำดับนั้นอีกหนึ่งสาเหตุมาจากการที่อาจารย์ได้สั่งให้ทำรายงานนี้ทำให้ผมต้องลดการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่จะทำรายงาน(ปกติผมก็ลดพลังงานไฟฟ้าอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ผมจงใจลดเพื่องานนี้)
4.อาจเป็นเพราะความบังเอิญที่ค่าไฟลดลง(บุคคลอื่นที่อยู่ในบ้านอาจประหยัดไฟด้วย)
บรรณานุกรม
1.http://www.student.chula.ac.th/~49718863/elec.htm
2.http://www.thaienv.com/th/index.php?option=com_content&task=view&id=218&Itemid=27