คีตะการ ดนตรี ล้านนา
ดนตรีล้านนา
ดนตรีการล้านนามีมานานตามที่ปรากฏจาก หลักฐาน ในอดีตถึงปจัจุบนักล่าวถึงเครื่องดนตรี
บางประเภทอาจไม่มใีครเคยคิดว่าเป็น สิ่งที่อยู่ กับล้านนามาก่อน เชน่ จะเข้ แตรสังข์ และแคน
เครื่องดนตรีเหล่านีแ้พร่กระจายในแถบล้านนา และไทยมาชา้นาน จากการศึกษาหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์อาจจะกล่าวได้ว่าดนตรีล้านนาใน อดีตมักมี บทบาทที่โยงใยกับชีวิตความเป็นอยู่
และที่สำาคญัยังโยงใยกับศาสนาและกษัตริย์
การดำารงอยู่คงต้องอาศัยปัจจัยสำาคญัอย่าง น้อย ๒ ประการได้แก่ แรงสนับสนุนสง่เสริม และ ความนิยม ซึ่งแรงสนบัสนุนส่งเสริมที่
ปรากฏชดัได้แก่ การจัดสอนฟ้อนรำาและดนตรี ในราชสำานกัอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในระยะแรก
อาจสอนเฉพาะแบบราชสำานัก ต่อมามีการสง่เสริมการฟ้อนรำาและดนตรีพื้นบา้นเข้าไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยพระราชชายาเจ้า ดารารัศในรัชกาลที่ ๕ มีท่านทรงสนบัสนุนให้มี
การศึกษาดนตรีไทยภาคกลาง มโหรี ปี่พาทย์ เปน็ต้น สำาหรับ ดนตรีถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน
อ้างอิงว่าทรงสง่เสริมเครื่อง ดนตรีล้านนาชนดิใดแต่พออนุมานหรือคาดเดาจากร่องรอยการแสดง
ที่หลงเหลือมาถึงปจัจุบนั เช่น ละครร้องเรื่อง น้อยใจยา น่าจะใชส้ะล้อและซึงเป็นหลัก การ
ฟ้อนเล็บ น่าจะใช้วงกลองตึ่งนง สว่นฟ้อนม่าน มุ้ยเชยีงตา ฟ้อนดาบ น่าจะเปน็วงปีพ่าทย์ (วง
เต่งถ้ิง) เปน็ต้น
1. พณิเปีย๊ะ / เปีย๊ะ1. เพยีะ ( “ ” อ่าน เปี๊ยะ ) และ ซงึ ในโคลงนริาศหริภญุชัย
เรียกซงึว่าติ่งเช่นเดียวกับทีช่าวไทใหญ่เรียก เพยีะ เป็นเครื่อง ดีดจำาพวกพิณ จัดเป็นเครื่องดนตรีทีเ่กา่แก่ชนดิหนึ่งของล้าน
นาและปรากฎการกล่าวถึงใน กาพยห์่อโคลง ของพระศรี มโหสถในสมยัอยุธยาด้วย มลีักษณะคล้ายพณินำ้าเต้าของภาค
อีสาน การเล่นเพยีะเทา่ทีพ่บนัน้สว่นมากเป็นการเล่นเด่ียว ไม่ ค่อยเล่นประสมวง และไมน่ยิมมกีารขับร้องประกอบ เนือ่งจาก
เสียงของเพยีะไมค่่อยดังนกั อาจมกีารช้อยโคลง ( “ อ่าน จ๊อ ” ยกะโลง ) ประกอบคือขับโคลงเป็นทำานองเสนาะ ส่วนเพลงที่
เล่นนัน้สามารถเล่นได้ทกุเพลงเทา่ที่เครื่องดนตรีอ่ืนๆ ในระดับ ชาวบ้านจะเล่นได้ เช่น เพลง จก ไหล ปุ๋มเป้ง เก้าปุ๋มป่ง
ปราสาทไหว ปราสาทกุด เงี้ยว พมา่ อ่ือ ฯลฯ
2. ซึง2. ซึง บางท้องถิน่เรียกว่า ติ่ง มีลกัษณะคล้ายกระจับปี่หรือคลา้ย
พิณหรือซุงของภาคอสีาน หรือคล้ายกีตาร์ขนาดเลก็ ซึงประกอบด้วย กล่องเสียง มีคอยื่นออกไปและขึงสายซ่ึงเป็นต้นกำาเนิดเสียง จากปลาย
คอผ่านกลางกล่องเสียงไปยังขอบของกลอ่งเสียงอีกด้านหน่ึง อาจใช้ ไม้ทั้งท่อนทำาซึงทั้งกล่องเสียงและคอโดยเป็นไม้ช้ินเดียวกัน หรือ
คนละช้ินทำาแยกส่วนก็ได้ ตัวซึงมักจะใช้ไม้เน้ือออ่นหรือไม้สักทำาทั้ง แผ่นเพราะขุดเน้ือไม้ทำาเป็น กล่องเสียงได้ง่าย ความหนาของกล่อง
เสียงขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่จะใช้ทำาและขนาดของซึงที่ต้องการซึงนับเป็นเครื่องดนตรีที่นักดนตรีเกือบทุกคนสามารถทำาขึ้นไว้
เล่นเองได้ และเป็นเครื่องดนตรีที่มีขายอย่างแพร่หลายแหล่งที่ทำาซึง ขายน้ันนอกจากจะเป็น กลุ่มนักดนตรีที่เล่นเป็นอาชีพจะรับทำาเม่ือมีคน
มาสั่งแล้ว ยังมีวางขายที่ตลาดกลางคืน ถนนช้างคลาน และที่บ่อสร้าง อำาเภอสันกำาแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
เครื่องสายที่มีคันสี เสียงดนตรีจะเกิดจากการเสียดสี ระหว่างสายคันชกักับสายเส้นลวดทองเหลอืงที่ ขึงตึงอยู่
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีของล้านนา ได้แก่สะลอ้ สะล้อ อาจเรียกว่า ถะล้อ ธะล้อ หรือ ทะร้อ ซึ่งมีรูปศัพท์เดิม
“ ” จากภาษาขอมว่า ทฺรอ ซึ่งภาษาไทยกลางออกเสียงเป็น“ ” “ ” ซอ แต่ในโคลงนิราศหริภิญชัยว่า ธะล้อ เป็นเครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชักสีลงบนสายที่ขึงผ่านหน้า
กล่องเสียง มีรูปร่างใกล้เคียงกับซออู้ สะลอ้ม ี ๓ ขนาด ไดแ้ก ่
๑. สะลอ้เลก็ มี ๒ สาย๒. สะล้อกลาง มี ๒ สาย๓. สะล้อใหญ่ มี ๓ สาย มีวิธีการเล่นคล้ายซอสามสายแต่ไม่เอาคันชักไว้ระหว่างสาย
สะล้อ ที่นิยมบรรเลงคือสะล้อที่มี ๒ สาย ส่วนสะล้อ ๓ สาย ไม่ค่อยมีผู้นิยมเล่น เพราะเล่นยากกว่าสะลอ้ ๒ สาย
นอกจากใช้สะลอ้บรรเลงเดี่ยวแลว้ ยังนิยมใช้บรรเลงร่วมกบัวงดนตรีพื้นเมืองสะล้อ-ซึง
กลองหลวง
1. กลองหลวง หรือ กลองห้ามมาร รูปลักษณะเปน็กลองยาวคอดกลางปลายบานเป็น
ลำาโพง ยาวประมาณ 3.0-3.5 เมตร ขนาดหน้า กลองเสน้ผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 60-80 เซนติเมตร
ต้องวางบนล้อเกวียน ใช้คนลากหลายคน เวลา ตีต้องขึ้นนั่งคร่อมตีหรือยืนอยู่ด้านหน้ากลอง ใช้
มือขวาตีโดยมีผ้าพันมือทำาเปน็รูปกรวยแหลมให้ ผา้พันมือกระทบหน้ากลอง ใช้ตีเป็นสัญญาณ
วันพระ 8 คำ่า หรือ 15 คำ่า ในล้านนามีประเพณี การแข่งขันตีกลองหลวง ซึ่งนิยมกันมากในชว่ง
พ.ศ.2520 เปน็ต้นมา
กลองเต่งถิ้ง2. กลองเต ่งถ ิ้ง หร ือ กลองโปง่ปง้ เป็นก
ลองขึ้นหนังสองหน้า มีขาตั้ง ใช้ตีทั้งสองหน้า ลักษณะเดียวกับตะโพนไทยและตะโพนมอญ
“ ” “ ใชเ้ล่นประสมวง เต่งถ้ิง หรือ วง พาทย์” (วงปีพ่าทย์มอญ) และวงสะล้อ- ซึง (ดูเรื่องการประสมวงต่อไป) กลองชนิดนี้มีหลายขนาด มี
ตั้งแต่ขนาดหน้ากลองเส้นผา่ศูนย์กลาง 20-40 เซนติเมตร และความยาวของตัวกลองตั้งแต่ 45-
60 “ เซนติเมตร ถ้าเป็นขนาดเล็กบางทีก็เรียกว่า ” “ ”กลองโป่งปง้ หรือ กลองตัด
ปี่จุม / ปี่ชุม ปี่จุมมีทั้งหมด ๕ เลา คอื
๑. ปี่แม่ หรือ ปีเ่ค้า ( “ ” อ่าน ปีเ่ก๊า ) ทำาจากไม้ไผ่ สว่นโคนมีขนาดใหญ่ที่สุดของแต่ละชุม มีขนาด
เสน้ผ่าศูนย์กลางเกือบ ๒ เซนติเมตร ยาวไม่ตำ่า กว่า ๗๕ เซนติเมตร ปีแ่ม่มีเสยีงทุ้มตำ่า
๒. ปีก่ลาง ( “ ” อ่าน ปีก๋่าง ) มีขนาดรองลงไป ทำา จากไม้ไผช่่วงที่ถัดจากปี่แม่ลงไป มคีวามยาว
ประมาณ ๔ ส่วนใน ๕ สว่นของปีแ่ม่ ปี่กลางมีเสยีงสงูขึ้นมา
๓. ปี่ก้อย มีขนาดเล็กถัดจากปี่กลางลงไป ทำาจากไม้ช่วง ท่ีถดัจากปี่กลางลงไป มีความยาวประมาณ ๓ ส่วน ใน ๔
ส่วนของปี่กลาง ปี่ก้อยมีเสียงสูงกว่าปี่กลาง๔. ปี่เลก็ เป็นปี่ท่ีทำาจากไม้ช่วงท่ีถัดจากปี่ก้อยลงไป มีความยาวเป็นครึ่งหนึ่งของปี่กลางและเส้นผ่าศูนยก์ลาง
ประมาณ ๑.๒-๑. ๔ เซนติเมตร ปี่เล็กเป็นปี่ท่ีมีเสียงสูงกว่าปี่ก้อย๕. ปี่ตัด เป็นปี่ท่ีมีขนาดเล็กท่ีสุดของชุม ซึง่เป็นปี่ท่ีเพิง่จะ
เพิม่มาภายหลัง ปัจจับันไม่ค่อยนิยมใช้เท่าใดนักเพราะเป็นปี่ท่ีเป่ายากท่ีสุดในชุม
ปี่แน แน เป็นเครื่องเป่าประเภทหนึง่บางครั้งถกูชาวบ้าน เรียกว่า ปี่แน พบว่ามีขายแม้กระทัง่ในตลาดของเมืองตาลี
มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และอาจจะได้รับอทิธิพลมา จากพม่า ซ่ึงมีเครื่องดนตรีประเภทเดียวกันนี้อยู่ด้วย ลิน้
ของแนทำาด้วยใบลานหรอืใบตาล เป็นลิน้คู่ประกบกันอยู่ รอบๆ ท่อโลหะเลก็ๆ ทอ่นีเ้สียงเข้าไปในทอ่ไม้กลมยาวซ่ึง ค่อยๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น ท่อไม้นีก้ลวงตลอดและรูภายใน ค่อยๆ โตขึ้นตามขนาดของไม้ด้วย รูที่เจาะบนทอ่ไม้เป็น
ระยะสำาหรับปิดเปิดด้วยนิ้วมือทัง้สองข้าง ซ่ึงมีจำานวน ๖ รู ปากลำาโพงทำาด้วยทองเหลอืง ผูเ้ป่าที่ชำานาญอาจใช้แน
ทำาเสียงใหไ้ด้อารมณ์ตา่งๆ หลายชนิด แน มี ๒ ขนาด คือ แนหลวง หรือแนใหญ่ มารูปร่าง
ลกัษณะขนาดและวิธีเลน่เหมือนกับปี่มอญ