พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
พิมพ์ครั้งที่ 1 พฤษภาคม 2556 จำนวน 5,000 เล่ม จัดพิมพ์โดย มูลนิธิแพทย์ชนบท ร่วมกับ สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมไทย ที่เป็นธรรม (สปร.) ออกแบบ บริษัท สร้างสื่อ จำกัด พิมพ์ที่ บริษัท พิมพ์ดี จำกัด
คำนำ
เรื่องพีฟอร์พีกำลังสร้างปัญหาความขัดแย้งครั้งใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข
ขณะที่คนส่วนใหญ่ในประเทศรวมทั้งในกระทรวงสาธารณสุขส่วนมากน้อยคนที่จะ
รู ้จักพีฟอร์พีอย่างแท้จริง มูลนิธิแพทย์ชนบทจึงเห็นสมควรจัดพิมพ์ข้อเขียนของ
นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒนอดีตผู้ร่วมก่อตั้งและประธานชมรมแพทย์ชนบทสอง
สมัยเมื่อราวสามสิบปีมาแล้วออกเผยแพร่ เพราะเป็นบทความที่ไม่ยาวนักสามารถ
อธิบายเรื ่องราวพีฟอร์พีได้อย่างถึงแก่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและหา
ทางออกที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประเทศชาติและประชาชนได้ต่อไป
ทั้งนี ้ ได้นำบทความเรื ่องพีฟอร์พีที ่ศาสตราจารย์ แสวง บุญเฉลิมวิภาส
อาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มารวมพิมพ์ไว้ด้วยท่านอาจารย์
แสวงเป็นนักกฎหมายผู้มีความรู้ความเข้าใจในวงการแพทย์และสาธารณสุขอย่าง
ลึกซึ้งถึงแก่น เพราะทำงานให้แก่วงการนี้มานานหลายสิบปี เป็นกรรมการอยู่
มากมายทั้งในระดับชาติและระดับสถาบันเขียนบทความและตำราเรื่องจริยธรรมการ
แพทย์ไว้มากจากจุดยืนของกัลยาณมิตรที่แท้จริงแห่งวงการสาธารณสุขตลอดมา
นอกจากนี้ยังมีบทความของทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาลอาจารย์คณะทันต-
แพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งศึกษาเรื่องพีฟอร์พีมาอย่างลุ่มลึกมารวม
พิมพ์ไว้ด้วย
หวังว่าเอกสารนี้จะทำให้ประชาชนได้ทราบความจริงที่มีผลกระทบต่อการ
ให้บริการสุขภาพของประชาชนอย่างกว้างขวางและหวังว่าผู้บริหารที่“ดึงดัน”ทำ
เรื ่องนี้อยู่ จะได้ “ตาสว่าง” ขึ ้นบ้างหยุดการกระทำที่สร้างหายนะให้แก่วงการ
สาธารณสุขไทยและหาทางแก้ไขเยียวยากันต่อไป
นายแพทย์พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท
วันวิสาขบูชา พฤษภาคม 2556
สารบัญ
1.ความเป็นมา 1
2.การลุแก่อำนาจ 6
3.การใช้ยาผิด 12
4.พีฟอร์พีไม่ใช่ยาดีจริง 16
5.พีฟอร์พีมีแต่เสีย-เสีย-เสีย 20
6.นิทานเรื่องคนก่ออิฐ 24
7.บทส่งท้าย 29
ภาคผนวก
- การคิดเบี้ยเลี้ยงตามภาระงานส่งเสริมหรือทำลาย
จริยธรรมแห่งวิชาชีพ? 31
โดย แสวง บุญเฉลิมวิภาส
- ข้อเท็จจริงของPayforPerformance(P4P) 36
โดย ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ความเป็นมา
1.
พีฟอร์พี (P4P)ย่อมาจากPay forPerformanceแปลว่า
“การจ่ายค่าตอบแทนตามการปฏิบัติงาน” เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้
ในการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การ“ขยัน”หรือ“ตั้งใจทำงาน”
เพราะจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นตามความขยันหรือผลการปฏิบัติ-
งาน
ดูเผินๆพีฟอร์พีก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดีและไม่ควรจะมีใคร
ออกมาคัดค้านต่อต้าน แต่ปรากฏว่าเมื ่อกระทรวงสาธารณสุข
ประกาศใช้มาตรการนี ้ กลับเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจาก
“ชมรมแพทย์ชนบท”และขยายวงการคัดค้านออกไปเรื่อยๆจน
บานปลายทำท่าจะ“หาทางลง”กันไม่ได้ เพราะมีการปลุกกระแส
ออกมาต่อต้านการคัดค้านจนทำให้เกิดการแตกแยกอย่างค่อนข้าง
รุนแรงไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศจึงทำให้น่าสงสัยว่าพีฟอร์พีที่
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �
ผู้บริหารจำนวนหนึ่งในกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าเป็นมาตรการที่ดีหรือ
เปรียบเทียบได้ว่าเป็น“ยาดี”นั้นดีจริงหรือไม่และถ้าเป็นยาดีจริง เป็นการนำ
มา“ใช้ผิด”หรือไม่
ในอดีตกระทรวงสาธารณสุขมีการนำพีฟอร์พีมาใช้อยู่แล้วแต่ใช้ด้วย
“สติ” และด้วย“ปัญญา”กล่าวคือ1)จะนำมาใช้อย่างรอบคอบระมัดระวัง
โดยมีการศึกษาทบทวนจนมั่นใจแล้วจึงใช้ 2)นำมาใช้อย่างจำเพาะเจาะจง
เฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี ไม่“ผลีผลาม”นำไปใช้อย่างกว้างขวางครอบจักรวาล
3)จะใช้โดยวิธีการให้สมัครใจมิใช่โดยการบังคับและ4)จะใช้เพื่อ“เสริม”
(OnTopหรือAddOn)มาตรการจูงใจที่มีอยู่เดิมไม่เลิกมาตรการเดิมโดยเฉพาะ
กรณีที่มาตรการนั้นมีผลดีอยู่แล้ว
ตัวอย่างแรกๆที ่มีการนำพีฟอร์พีมาใช้ คือ การจ่ายเงินเพิ ่มให้แก่
โรงพยาบาลชุมชนที่ทำหมันหญิงในโครงการวางแผนครอบครัวรายละ200บาท
เมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว ในช่วงที่มีการรณรงค์เร่งรัดการวางแผนครอบครัว
มาตรการดังกล่าวใช้เพื่อจูงใจให้โรงพยาบาลชุมชนพัฒนาศักยภาพให้สามารถ
ผ่าตัดทำหมันได้ พร้อมๆกับการจ่ายเงิน “จูงใจ” ก็มีโครงการฝึกให้แพทย์
โรงพยาบาลชุมชนผ่าตัดทำหมันโดยเฉพาะ“หมันแห้ง”คือทำหมันหญิง โดย
ไม่ต้องรอให้ตั้งครรภ์และคลอดเสียก่อนมีการสนับสนุนเครื่องมือทำหมันแห้งแก่
โรงพยาบาลชุมชนด้วยมาตรการนี้ได้ผลดีและไม่มี“โรคแทรกซ้อน” เพราะ
ทำอย่าง“มืออาชีพ”ถ้าจำไม่ผิดเงินสนับสนุนโครงการนี้มาจากต่างประเทศ
คือสหรัฐอเมริกาผ่านสมาคมด้านวางแผนครอบครัวจึงมีการเตรียมการและ
ติดตามอย่างครบวงจรนั่นคือ 1) เงินที่จ่ายจ่ายให้แก่โรงพยาบาล ไม่ให้แก่
บุคคล2)จำนวนเงินที่จ่ายไม่มากจนทำให้เกิดความโลภและ3)มีการป้องกัน
การเบิกเท็จ โดยมีการส่งเจ้าหน้าที่ออกไปติดตามถึงบ้านคนไข้ ว่าได้ทำหมัน
จริงหรือไม่ซึ่งมีผลดีในการติดตามผลของโครงการด้วย โครงการดังกล่าวนี้ทำ
ผ่านไประยะหนึ่งก็เลิกไปเพราะบรรลุเป้าหมายแล้ว
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ตัวอย่างที ่สองคือ “โครงการจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงาน”
สำหรับเจ้าหน้าที ่ที ่อยู ่เวรนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ ผู ้ริเริ ่มทำ
โครงการนี้จนสำเร็จอย่างดีคือนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ วัตถุประสงค์
เพื่อจูงใจให้แพทย์และพยาบาลที่ “อยู่เวร”ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการและ
ในวันหยุดขยันในการดูแลคนไข้เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าตอบแทนที่จ่ายเป็นอัตรา
“ตายตัว” (FlatRate)ที่มีอยู่แล้ว ไม่จูงใจให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรเอาใจใส่ดูแลคนไข้
เท่าที่ควรแม้จะมี“จรรยาบรรณวิชาชีพ”กำกับนอกเหนือจากระเบียบของทาง
ราชการที่มีอยู่แล้วทำให้เกิดปัญหาการละเลยคนไข้“ฉุกเฉิน”โดยเฉพาะที่มารับ
บริการนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ แทนที่จะรีบไปตรวจรักษาหรือ
ผ่าตัดบ่อยครั้งที่ “ตามแพทย์” ไม่ได้หรือพยาบาลเวรอิดออดไม่ยอมไปช่วย
ผ่าตัดหรือลงไปช้าไม่ทันการณ์คนไข้ฉุกเฉินและ“เร่งด่วน”บางราย“ถูกดอง”
ไว้จนบางรายเกิดโรคแทรกซ้อนหรือเสียชีวิตไปคนไข้บางคนควรได้รับการผ่าตัด
ตั้งแต่คืนวันศุกร์ก็อาจได้ผ่าตัดวันจันทร์
น่าคิดว่าทำไมกรณีพีฟอร์พีที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสาธารณสุข “สั่งให้ทำ” ในเวลานี้ เหตุใดจึงถูกต่อต้านรุนแรงนัก
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �
หนึ่งสัปดาห์มี7วันเท่ากับ168ชั่วโมงเป็น“เวลาราชการ”เพียง40
ชั่วโมงนอกเวลาและวันหยุดครอบคลุมเวลาถึง128ชั่วโมงชีวิตคนไข้ฉุกเฉิน
จำนวนมากจึง“แขวนอยู่บนเส้นด้าย”ถึงสัปดาห์ละ128ชั่วโมงนายแพทย์
สงวนได้คิดและเตรียมการเรื่องนี้ โดยได้นายแพทย์สุวัฒน์ กิตติดิลกกุลมา
ช่วยทำเรื่องนี้แบบ“เต็มเวลา” ใช้เวลาเตรียมการกันค่อนข้างยาวนานช่วงนั้น
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชซึ่งเคยปฏิบัติงานกับนายแพทย์สงวน ได้ลา
ออกจากราชการในกระทรวงสาธารณสุขไปทำงานกับพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร
โดยรับหน้าที่ไปทำโครงการเคเบิลทีวี (ไอบีซี) ในกัมพูชาทำจนเสร็จโครงการ
กลับมาประเทศไทยมาเยี่ยม“พี่ๆ น้องๆ ในกระทรวงสาธารณสุข”ตอนนั้น
โครงการของนายแพทย์สงวนเรื่องนี้ยังศึกษาและเตรียมการไม่เสร็จนายแพทย์
พรหมินทร์ยัง“แซว”ว่า“ผมไปติดตั้งไอบีซีทั่วกัมพูชาทั้งประเทศเสร็จแล้ว พี่ๆ
ยังคุยเรื่องนี้ไม่เสร็จอีกหรือ”
ตอนนั้นยังทำ“ไม่เสร็จ”และไม่พร้อมเริ่มโครงการจริงๆเพราะต้องทำ
ด้วยความรอบคอบแต่ในที่สุดก็เริ่มโครงการได้ซึ่งโครงการนี้ได้ผลดีมากเพราะ
ทำให้แพทย์พยาบาลที่อยู่เวรขยันขึ้นมากคนไข้นอกเวลาได้รับบริการรวดเร็วขึ้น
มากโรงพยาบาลจังหวัดขนาดกลางหรือขนาดย่อมจำนวนมากที่มักส่งต่อคนไข้
นอกเวลาไปโรงพยาบาล “ศูนย์” ในจังหวัดใกล้เคียงเป็นประจำเปลี่ยนเป็น
“ขยัน”ทำผ่าตัดเองเพิ่มขึ้นมากทีมพยาบาลเวรห้องผ่าตัดเมื่อถูกตามจะขึ้นมา
ช่วยผ่าตัดอย่างกระตือรือร้นผ่าเสร็จยังอยากช่วยผ่าตัดต่อ โดยมีการติดตาม
คนไข้ที่รอ“ติดตามสังเกตอาการ”อยู่ในหอผู้ป่วยถามแพทย์ว่า “รายที่เฝ้า
สังเกตอาการในตึกนั้นอาการชัดเจนเอามาทำผ่าตัดได้หรือยัง”และหลายคนได้
ค่าตอบแทนแต่ละเดือนมากกว่าเงินเดือนประจำเสียอีก
โครงการนี ้ได้ผลมากกับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั ่วไปส่วน
โรงพยาบาลชุมชนได้“อานิสงส์”จากโครงการนี้น้อยเพราะปัญหาแตกต่างกัน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
โครงการนี้ประสบผลสำเร็จ เพราะเป็นมาตรการสมัครใจ ไม่บังคับ
ค่าตอบแทนตามอัตราตายตัวไม่ถูกกระทบ แต่จะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ ้นถ้า
ทำงานมากจนคำนวณแล้วเกินอัตราตายตัวถ้าทำน้อยกว่าก็ได้ค่าตอบแทนไม่
น้อยกว่าเดิม
แต่โครงการนี้ก็มี“โรคแทรกซ้อน”อยู่บ้างเพราะเกิดกรณีไม่ทำผ่าตัด
“ในเวลาราชการ”ซึ่งไม่มี“ค่าตอบแทนตามปริมาณงาน”จึงรอไปทำผ่าตัด
นอกเวลาแทนจนบางรายเกิดโรคแทรกซ้อนเพราะผ่าช้าไป
น่าคิดว่าทำไมกรณีพีฟอร์พีที่ รัฐมนตรีและปลัดกระทรวง
สาธารณสุข “สั่งให้ทำ” ในเวลานี้ เหตุใดจึงถูกต่อต้านรุนแรงนัก
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �
การลุแก่อำนาจ
2. เท่าที่ตรวจสอบความคิดเรื่องพีฟอร์พีเกิดขึ้นมานานพอ
สมควรในกระทรวงสาธารณสุข โดยเริ ่มมีการศึกษาทดลองใน
โรงพยาบาลสองแห่งคือ โรงพยาบาลพานจังหวัดเชียงรายและ
โรงพยาบาลสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชน
ทั้งสองแห่งตั้งแต่ปีงบประมาณ2546แต่เนื่องจากระบบดังกล่าว
มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากจึงต้องใช้เวลาศึกษาเตรียม
การทำความเข้าใจปรับแก้อยู่นานหลังจากนั้นได้มีการขยาย
ออกไปศึกษาทดลองในอีกราว10โรงพยาบาลเช่นโรงพยาบาล
แก่งคอย จังหวัดสระบุรี (รพ.ชุมชน) โรงพยาบาลมะการักษ์
จังหวัดกาญจนบุรี (รพ.ทั ่วไปขนาดย่อม) โรงพยาบาลแม่จัน
จังหวัดเชียงราย (รพ.ชุมชน) โรงพยาบาลพนมสารคามและ
โรงพยาบาลบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทรา(รพ.ชุมชน)
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
การลุแก่อำนาจ
ก่อนการขยาย“การทดลอง”ออกไปอีกราว10โรงพยาบาลเมื่อวันที่
22-24กันยายนพ.ศ.2551ได้มีการประชุม“สรุปบทเรียน”เรื่องนี้ที่โรงพยาบาล
พานจังหวัดเชียงรายของ“คณะวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการจ่ายค่าตอบแทน
ตามปริมาณงาน”มีการสรุปผลกระทบด้านบวกและด้านลบของโครงการด้าน
บวกที่สำคัญคือ1) เจ้าหน้าที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเพิ่มขึ้น 2) เพิ่ม
ขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน 3)มีแรงจูงใจในการสร้างงานและนวัตกรรม
ใหม่ๆ4)ผลผลิตของโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น และ5)พฤติกรรมการให้บริการ
ของผู้ปฏิบัติงานดีขึ้น
แต่เหรียญย่อมมีสองด้านผลกระทบด้านลบที่พบคือ1)มีการปฏิเสธ
งานที่ไม่มีแต้มหรือมีแต้มน้อย 2)มีการไม่ยอมกระจายงานเพื่อให้เกิดการ
พัฒนาคุณภาพของการทำงาน3) เกิดทัศนคติเชิงลบในกลุ่มที่ไม่เข้าใจนโยบาย
ไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับการสื่อสาร/ให้ข้อมูล 4)ส่วนใหญ่มีความรู้สึกไม่เป็น
ธรรมในการกำหนดแต้มระหว่างแผนก/ลักษณะงาน
ข้อสำคัญคือ โครงการนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า วิธีการนี้
จะส่งผลดีต่อบริการที่ประชาชนจะได้รับหรือไม่ ข้อร้องเรียนจะลดลงหรือ
ไม่ และอัตราความผิดพลาดทางการรักษาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร รวม
ทั้งมีผลกระทบต่อการตัดสินใจโยกย้ายของแพทย์ และบุคลากรอื่นๆ
หรือไม่อย่างไร
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �
ในการประชุมสรุปบทเรียนครั้งนั้นพบปัญหาอุปสรรคมากมายและมี
ข้อเสนอแนะ“เพื่อการพัฒนาระบบ”อีกหลายข้อข้อที่เป็นหัวใจสำคัญก็คือ
โครงการที่ทดลองนำร่องนี้ทำโดยไม่กระทบกับระบบค่าตอบแทนที่มีอยู่
เดิม ฉะนั้นคณะผู้วิจัยจึงสรุปบทเรียนข้อแรกจากหลายข้อว่า นโยบาย
จ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณนี้ “ไม่ควรกระทบค่าตอบแทนหรือผล
ประโยชน์เดิมที่เคยได้รับ”
จาก“บทเรียน”ดังกล่าวทำให้ต้องมีการขยายการศึกษาออกไปยังโรง
พยาบาลอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งดังกล่าวแล้วซึ่งปรากฏว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่
ที่ทำการศึกษาทดลองใน“ระยะที่สอง”ยังไม่มีการดำเนินการเต็มรูปแบบเพราะ
พบปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆมากมาย
จากการ “ผลีผลาม” และ “ลุ แก่อำนาจ” ของกระทรวงสาธารณสุข บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวาง ควรต้อง “รีบถอย” ไม่ควรดึงดันให้เกิดความเสียหายไปกว่านี้
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลสระบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่
มีระบบงานซับซ้อนมากอดีตผู ้อำนวยการซึ ่งเพิ ่งเกษียณอายุไปไม่นานคือ
นายแพทย์เทียมอังสาชนแพทย์และผู้บริหารที่ดีที ่สุดคนหนึ่งของกระทรวง
สาธารณสุขสรุปว่า ระบบนี้ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลสระบุรี และถ้าจะใช้
ก็จะเลือกใช้กับบางระบบเท่านั้น ไม่ใช้กับทุกระบบของโรงพยาบาล เพราะจะ
เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
อีกตัวอย่างหนึ่งคือที ่โรงพยาบาล 50พรรษามหาวชิราลงกรณ์ที ่
จังหวัดอุบลราชธานีผู้อำนวยการโรงพยาบาลคือนายแพทย์พรเจริญ เจียมบุญ-
ศรี ได้ออกมาพูดกับสาธารณะอย่างชัดเจนว่า ระบบนี้มีความซับซ้อนมากมีทั้ง
ข้อดีข้อเสียและต้องพัฒนาอีกมากโดยโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศยังมีความ
รู้ความเข้าใจกับระบบนี้น้อยมาก
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0
ในขณะที่ระบบพีฟอร์พียังต้องการการพัฒนาและการเตรียมการอีกมาก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุขกลับเร่งรัด
ประกาศใช้ระบบนี้ในลักษณะบังคับใช้ทั่วประเทศโดยกระทบโดยตรงกับระบบ
ค่าตอบแทนเดิมของโรงพยาบาลชุมชนคือระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายซึ่งเป็นการ
ผิดหลักการอย่างชัดแจ้งเมื่อชมรมแพทย์ชนบทเริ่มออกมาคัดค้านก็พยายามหา
“หลังอิง” โดยอ้างว่าได้มีการศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว โดยสำนักงานพัฒนา
นโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ(InternationalHealthPolicyProgramหรือIHPP)
แต่ก็ต้อง“หน้าแตก” เมื่อ IHPPออกมาเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยสรุปสาระ
สำคัญโต้แย้งการอ้างอย่าง“ตีขลุม”ของกระทรวงสาธารณสุขคือ1) รูปแบบ
การจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงานน่าจะใช้เฉพาะในการเพิ่มอุปสงค์และ
อุปทานของบริการบางอย่างที่ประชาชนยังเข้าไม่ถึงและยังไม่เกิดอุปสงค์ โดย
เฉพาะการป้องกันปฐมภูมิของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นบริการที่มีความสำคัญ
และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สูง และไม่ควรใช้ระบบนี้เป็นการทั่วไปใน
บริการสุขภาพทั้งหมดทั้งนี้เมื่ออุปสงค์และอุปทานเกิดขึ้นเป็นปกติแล้วระบบนี้
ก็ควรเลิกไป เช่นเดียวกับที่กระทรวงสาธารณสุขเคยประสบความสำเร็จในการ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
เร่งรัดบริการวางแผนครอบครัวมาแล้ว 2)การศึกษาพีฟอร์พีที่ผ่านมาอยู่ใน
บริบทของการจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะเพิ่มเติม (on top)หากจะจ่ายพีฟอร์พี
ทดแทนการจ่ายค่าตอบแทนอื่นๆก็จะต้องมีการศึกษาผลกระทบและความพึง
พอใจของผู้ปฏิบัติภายใต้บริบทใหม่เสียก่อน3)พีฟอร์พีมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่
ต้องมีการพัฒนารูปแบบให้สอดคล้องกับสถานพยาบาลแต่ละระดับ4) โรง
พยาบาลชุมชนมีความหลากหลายจะต้องมีการพัฒนารูปแบบโดยการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการให้ได้รูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละรูปแบบ
ที่สำคัญโรงพยาบาลที่“นำร่อง”ศึกษาเรื่องนี้ไม่น้อยกว่า5แห่งได้รวม
ตัวกันไปคัดค้านและเตือนปลัดกระทรวงว่ายังไม่พร้อม ไม่ควรประกาศใช้ ได้แก่
รพ.แก่งคอยรพ.บางคล้ารพ.พนมสารคามรพ.สระบุรีและรพ.มะการักษ์แต่
ปลัดกระทรวงก็ไม่ฟังจนเกิดเรื่อง
จากการ “ผลีผลาม” และ “ลุแก่อำนาจ” ของกระทรวงสาธารณสุข
บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเกิดการ
ต่อต้านอย่างกว้างขวาง ควรต้อง “รีบถอย” ไม่ควรดึงดันให้เกิดความ
เสียหายไปกว่านี ้
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
การใช้ยาผิด
3. ในเอกสารเรื ่องพีฟอร์พีของกระทรวงสาธารณสุขที่ส่ง
ให้หน่วยงานต่างๆ เมื่อเร็วๆนี้ รวมทั้งคู่มือเรื่องนี้ ได้กล่าวถึง
“หลักการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับบุคลากร
สาธารณสุข”สรุปว่าค่าตอบแทนประกอบด้วย3ส่วนได้แก่1)
เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งซึ่งจ่ายตามประสบการณ์การ
ทำงานและความเชี ่ยวชาญของกำลังคน 2) ค่าตอบแทนตาม
พื้นที่พิเศษและวิชาชีพขาดแคลนและจำเป็นจ่ายเพื่อเพิ่มแรง
จูงใจให้มีกำลังคนในพื้นที่พิเศษและอยู่ในระบบราชการและ3)
พีฟอร์พีจ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพขวัญและกำลังใจ
เอกสารทั้งสองฉบับแยกค่าตอบแทน3ส่วนนี้ออกจาก
กันอย่างชัดเจนโดยเขียนเป็นรูปสามเหลี่ยมเงินเดือนอยู่ตรงฐาน
ค่าตอบแทนพื้นที ่พิเศษและวิชาชีพขาดแคลนและจำเป็นอยู ่
ตรงกลางและพีฟอร์พีอยู่ข้างบน เป็นภาพที่ชัดเจนว่าการจ่าย
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
การใช้ยาผิด
พีฟอร์พีเป็นการจ่ายเพิ่มเติม (on top)มิใช่เข้าไปแทนส่วนที่สองหรือ“ปะปน”
กับส่วนที่สอง
แต่การประกาศใช้พีฟอร์พีของกระทรวงสาธารณสุขกลับนำไปปะปนกับ
ส่วนที่สองซึ่งกลุ่มที่จะถูกกระทบมากที่สุดคือกลุ่มโรงพยาบาลชุมชนที่ใช้ระบบ
จูงใจโดย“เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย”เป็นกลไกสำคัญในส่วนนี้
น่าเชื่อว่าการประกาศใช้พีฟอร์พีในลักษณะ“บังคับ”ครั้งนี้ เกิดจาก
“อคติ” กับอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่เกิดจากการผลักดันของชมรมแพทย์
ชนบทเมื่อพ.ศ.2551ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับอัตราเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย
เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจนทำให้เกิดความไม่พอใจจากบางกลุ่มในโรงพยาบาลศูนย์
โรงพยาบาลทั่วไปทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีมาเป็นระยะซึ่งบางกรณี
เป็นลักษณะ“ใส่ไข่”กล่าวหาโรงพยาบาลชุมชนแบบ“เหมารวม”ทั้งๆที่
แพทย์ที่จะได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในอัตราสูงจริงๆมีเพียงจำนวนน้อยซึ่ง
อัตราที่ได้รับก็ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนจำนวนมาก
อันที่จริง วัตถุประสงค์สำคัญของการผลักดันเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเมื่อ
พ.ศ.2551ก็เพื่อเพิ่มจำนวนแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนซึ่งขาดแคลนมาตลอด
อัตราเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเดิมยังไม่จูงใจพอจึงจำเป็นต้องใช้“ยาแรง”เพื่อให้เกิด
ผลซึ่งก็ได้ผลจริงๆ เพราะหลังจากใช้“ยาแรง”ขนานนี้ก็ทำให้จำนวนแพทย์ใน
โรงพยาบาลชุมชนเพิ่มขึ้นจาก2,767คนในเดือนมกราคมปี2551 เป็น4,056
คนในเดือนมกราคมปี2555
อาจารย์ที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ท่านหนึ่งเคยเล่าว่าเรียนจบแพทย์
ที่ญี่ปุ่น จบแล้วสมัครใจไปทำงานในเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง มีประชากรราว5
ร้อยคนเท่านั้น เครื่องไม้เครื่องมือและหยูกยามีจำกัดถ้าคนไข้หนักต้องเรียก
เฮลิคอปเตอร์ไปรับงานก็ไม่ลำบากแต่ต้อง“เสียโอกาส”ต่างๆไปมากโดย
เฉพาะเรื่องการติดตามพัฒนาความรู้ความสามารถในวิชาชีพ“แต่เขาให้ค่า
ตอบแทนดี เงินเดือน 4 เท่าของแพทย์ในโตเกียว ที่ใช้เงินก็ไม่ใคร่มี ทำงานปี
เดียว มีทุนไปเรียนจนจบปริญญาเอกได้เลย”
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ระบบจูงใจบุคลากรสาขาขาดแคลนให้อยู่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล
ชุมชนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและจำเป็นต้องเป็นมาตรการท่ี “แรง”พอจึงจะ
สามารถต้านกระแสแรงดึงดูดจากโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองใหญ่และเมืองหลวง
ได้แม้แต่ในเมืองใหญ่และเมืองหลวงก็ยังต้องมีมาตรการจูงใจอย่างเหมาะสม
มิให้เอกชนดูดเอาไปดังที่เกิดขึ้นแล้วแม้แต่กับโรงเรียนแพทย์ฉะนั้นก่อนจะเลิก
หรือเปลี่ยนแปลงระบบเบี้ยเลี ้ยงเหมาจ่าย จึงต้องศึกษาอย่างรอบคอบและ
ดำเนินการอย่างละมุนละม่อมมิใช่“หักดิบ”เอาอย่างที่กระทำไปแล้ว
พีฟอร์พีเป็นเรื่อง“คาบลูกคาบดอก”และมีทั้งความ“ยาก” และ“ยุ่ง
ยาก”รวมทั้งมีข้อพึงระวังมากมายไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอามา“ปะปน”กับเรื่อง
เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเพราะเป็นคนละส่วนกันจุดมุ่งหมายคนละเรื่องกนั
การประกาศเรื่องพีฟอร์ฟีครั้งนี้ นอกจากจะกระทำอย่าง“ผลีผลาม”
แล้วยังน่าจะเป็นการ“ฉวยโอกาส” “แก้แค้น” ปรับลดเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่มี
คนส่วนหนึ่ง“ไม่ชอบ”จึงเข้าลักษณะเป็นการ“ใช้ยาผิด”อย่างชัดแจ้ง
การ“ผลีผลาม”ประกาศใช้กับโรงพยาบาลทั้งประเทศและให้ใช้กับ
ทุกภาคส่วนในโรงพยาบาล ในขณะที่ผลการวิจัยแนะให้เลือกทำอย่างเฉพาะ
เจาะจงในบางเรื่องที่สำคัญและคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และจะต้องมีการศึกษา
พัฒนารูปแบบก่อนย่อมเป็นการทำไปอย่าง “ขาดสติ” และการไปปรับลด
เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เป็นการ“ทำเกิน”จากบริบทของงานศึกษาวิจัย โดยไม่มี
การศึกษาผลกระทบและความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน จึงเป็นการ “ลุแก่
อำนาจ”โดยแท้
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า โรงพยาบาลทุกระดับมีบุคลากรที่ต้องหาวิธี
“จูงใจ”ให้“ขยัน”เพิ่มขึ้นแต่สำหรับในโรงพยาบาลชุมชนให้ดูข้อมูลการศึกษา
ภาระงานของแพทย์เปรียบเทียบจะเห็นได้ชัดข้อมูลในปี 2552 (จากรายงาน
“การสาธารณสุขไทย 2551-53”) เทียบภาระงานโดยคิดภาระงานแพทย์ใน
โรงพยาบาลเอกชน เท่ากับ1.0พบว่าแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนมีภาระงาน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
มากที่สุดคือ1.5ในโรงพยาบาลทั่วไปเท่ากับ1.1โรงพยาบาลศูนย์0.7ขณะที่
ภาระงานของแพทย์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเพียง 0.2 เท่านั้น แพทย์ใน
โรงพยาบาลเอกชนต้องทำงานให้“นายจ้าง” เต็มที่อยู่แล้วแพทย์โรงพยาบาล
ชุมชนยังมีภาระงานมากกว่าแพทย์โรงพยาบาลเอกชนถึง1.5เท่า
จึงไม่แปลกใช่ไหมที่มีเสียงประท้วงรุนแรงจากแพทย์ในชนบทเพราะ
ภาระงานก็หนักขนาดนี้อยู่แล้วยังจะเอาพีฟอร์พีไป“รีด”งานเพิ่มขึ้นเท่านั้นยัง
ไม่พอยังทำนอกตำราไปบังคับขืนใจให้ทำเรื่องที่ยังคลุมเครือผลดีไม่ชัดแต่ผล
เสียชัดแล้วยังไปเปลี่ยนแปลง“ยาแรง”ที่ได้ผลอีกด้วย
ธรรมดาของยาแม้เป็น“ยาดี”ก็มี“ข้อบ่งใช้”อย่างจำกัดและมี“ข้อ
ควรระวังในการใช้”กับ“ข้อห้ามใช้”รวมทั้งต้องมีขนาดยาและวิธีการใช้ยา
ให้ถูกโรคถูกขนาดถูกวิธี ถูกเวลา ไม่มีหมอคนไหน “บังคับ” คนไข้จำนวน
มากมายให้กินยาที่ตนเชื่อว่าเป็น“ยาดี”อย่างที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวง
สาธารณสุขดึงดันทำอยู่ในเวลานี้
ประชาชนคนไทยจะต้องทนกับนักการเมืองและข้าราชการ
ประเภทนี้ไปอีกนานแค่ไหน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
พีฟอร์พีไม่ใช่ยาดีจริง
4. ระบบพีฟอร์พี เป็นระบบของการเร่งรัดการทำงานใน
ระบบทุนนิยม แม้จะเป็นเครื ่องมือที่ใช้ได้ผลในหลายกรณี แต่
การนำมาใช้จะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังโดยมีการศึกษาให้
เข้าใจถ่องแท้ มีการเตรียมการอย่างละเอียดรอบคอบและข้อ
สำคัญจะต้องไม่นำมาใช้โดย “โทสจริต”หรือ “ลุแก่อำนาจ”
หรือโดย“โมหจริต”คือ“ความหลง”หรือการขาดความรู้ความ
เข้าใจอย่างเพียงพอ
นักวิชาการบางท่านถึงขั้นปฏิเสธระบบพีฟอร์พีในกรณีที่
จะนำมาใช้กับบุคลากรที่เป็น “วิชาชีพ” (Profession)ดังบทความ
ของศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส อดีตคณบดี คณะ
นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมาทำงานมากมายกับ
วงการแพทย์ และได้เขียนทั ้งบทความและตำราที ่ทรงคุณค่า
จำนวนมากเกี่ยวกับจริยธรรมของแพทย์(ดูภาคผนวก)
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
พีฟอร์พีไม่ใช่ยาดีจริง
นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ดุษฎีบัณฑิตทางมานุษยวิทยา-
การแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งศึกษาเรื่องพีฟอร์พีมาไม่น้อย เล่าถึง
ตัวอย่างปัญหาของพีฟอร์พีที่เกิดขึ้นในสหรัฐ กรณีของจิตแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย
จิตเวช โดยวิธีการ“จิตวิเคราะห์” (Psycho-analysis) วิธีการรักษาดังกล่าว
ต้องการการพูดคุยเพื่อหา“ปม”อันเป็นต้นเหตุของโรคซึ่งต้องมีการนัดคนไข้
บ่อยครั้งต่อมาถูกตรวจสอบว่าทำไมต้องนัดคนไข้บ่อยเช่นนั้นเป็นการสิ้นเปลือง
ค่าใช้จ่าย“โดยใช่เหตุ”ผลที่เกิดขึ้นคือวิธีการรักษาโรคดังกล่าวถูก“กดดัน”
ให้เปลี่ยนไปใช้ยาเป็นหลักทำให้คนไข้ต้องพึ่งยาและหมดโอกาสในการขจัด
“ปม”อันเป็นต้นเหตุของปัญหาไปและวิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ได้สูญไป
จากสหรัฐแล้ว
ในเอกสารเผยแพร่ของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่าง
ประเทศ ได้กล่าวถึงการศึกษาเรื ่องพีฟอร์พีขององค์การอนามัยโลกที่ทำใน
ประเทศเอสโทเนีย เมื่อพ.ศ.2551พบว่าการใช้ระบบพีฟอร์พีกับระบบบริการ
สุขภาพอาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนมุ่งไปให้บริการเฉพาะกิจกรรมที่“ได้แต้ม”
โดยละเลย“การรักษาให้ผู้ป่วยดีขึ้น”ซึ่งเป็นหัวใจของระบบสุขภาพ
การศึกษาของบรูอิน (Bruin)และคณะตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของ
อังกฤษ (BritishMedical Journal) เมื่อปี 2554ศึกษาในสหรัฐฯ เยอรมนีและ
ออสเตรเลียพบว่าแม้พีฟอร์พีจะทำให้มี “ปริมาณงาน”มากขึ้นแต่ไม่มีหลัก
ฐานทางวิชาการอ้างอิงได้ว่าจะทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการสุขภาพดีขึ้นโดยเฉพาะ
ในด้านคุณภาพการรักษาตรงกันข้ามอาจเกิดผลทางลบโดยมีโอกาสมากที่จะ
มุ่งเพิ่มปริมาณงานเพื่อ“เพิ่มแต้ม”ขณะเดียวกันก็ลดคุณภาพการรกัษาลง
ต้องไม่ลืมว่าแพทย์โดยทั่วไปเป็นปุถุชนและสามารถถูกครอบงำได้ด้วย
อิทธิพลผลประโยชน์ดังปรากฏว่าพฤติกรรมการให้บริการของแพทย์จะผันแปร
ตาม“ระบบ”ที่มีผลต่อ“การจูงใจ” (motivation)ในการตรวจรักษาของแพทย์
ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนทั ่วโลก รวมทั ้งในประเทศไทยที ่พบว่าระบบที ่มี
การจ่ายเงินให้แก่โรงพยาบาลแตกต่างกันทำให้พฤติกรรมการให้บริการของ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
โรงพยาบาลแตกต่างกันอย่างชัดเจนกล่าวคือระบบการจ่ายตามการให้บริการ
(Fee-For-Service) เช่นที่ใช้กับระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการจะทำให้
โรงพยาบาลให้บริการ“มากเกินความจำเป็น”เพื่อให้ได้รายได้มากขึ้นผลคือมี
การสั่งการตรวจวินิจฉัยและการตรวจรักษาที่บ่อยครั้งพบว่ามากเกินจำเป็นจน
สวัสดิการข้าราชการใช้เงินแพงกว่าระบบบัตรทองกว่า5 เท่าขณะที่ระบบการ
จ่ายแบบเหมาจ่ายรายหัว (Capitation) จะกลับทำให้ให้บริการน้อยเกินสมควร
ดังที่เกิดกับกรณีของประกันสังคมและบัตรทอง
ปัจจุบัน แม้ในโรงพยาบาลของรัฐก็ให้บริการแก่คนไข้บัตรทองและ
ประกันสังคม ด้วย “มาตรฐาน” ที ่แตกต่างจากบริการที ่ให้แก่สวัสดิการ
ข้าราชการดังกรณียากลูโคซามีนที่จ่ายแก่คนไข้เข่าเสื่อมพบว่ามีการจ่ายแก่
คนไข้ในสวัสดิการข้าราชการมากทั้งๆที่งานวิจัยพบว่าเกือบไม่มีประสิทธิผลใน
การรักษาโรคเลย
อย่ายืนยันหรือปฏิเสธเลยว่า กระทรวงสาธารณสุขจะแก้ปัญหา “หมอล่าแต้ม” ได้ เพราะแม้แต่ประเทศที่ “กฎหมายเป็นใหญ่” และมีรัฐบาลที่ต้องฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนอย่างสหรัฐ ก็ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
พฤติกรรมดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นแม้แต่ในโรงพยาบาลของรัฐ เพราะเหตุ
สำคัญสองประการคือ1) โรงพยาบาลของรัฐมีระบบเงินบำรุงที่โรงพยาบาล
สามารถนำไปใช้ได้ค่อนข้างคล่องตัวจึงมีแรงจูงใจที่จะหารายได้เข้าโรงพยาบาล
ให้มาก2)มีระบบการให้“สินบนปนน้ำใจ”จากบริษัทยาและบริษัทเครื่องตรวจ
วินิจฉัยทางการแพทย์เพื่อให้มีการสั่งจ่ายยาและการตรวจวินิจฉัยให้มากเข้าไว้
พฤติกรรมดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชนมากกว่ามาก เพราะ
ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนจะสร้างระบบบีบให้แพทย์ต้องสั่งตรวจวินิจฉัยและ
รักษาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รวมทั้งให้ “รับคนไข้ไว้ในโรงพยาบาล”แม้ไม่
จำเป็น เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดผลคือคนไข้ต้องจ่ายมากเกินจำเป็นมากมายบาง
คนอาจถึงขั้น “สิ้นเนื้อประดาตัว”ดังตัวอย่างเล็กๆคือนักศึกษาคนหนึ่งเป็น
ลูกของเลขาธิการหน่วยงานแห่งหนึ่ง ป่วยด้วยโรคท้องเสีย เข้าไปรักษาใน
โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งคืนเดียวโดนชาร์จไป8หมื่นกว่าบาท
ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนเรื่องหนึ่งคืออัตราการผ่าตัดคลอดที่สูงผิดปกติ
ในโรงพยาบาลเอกชน โดยพบว่าบางแห่งสูงกว่าอัตราการผ่าตัดคลอดใน
โรงพยาบาลของรัฐถึง3-4เท่า
ปัญหาเหล่านี ้ยากแก่การแก้ไข เพราะระบบตรวจสอบของรัฐคือ
กระทรวงสาธารณสุขและองค์กรวิชาชีพ เช่นแพทยสภาถูกครอบงำโดยธุรกิจ
แพทย์เอกชนจนศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตั ้งชื ่อใหม่ให้แพทยสภาว่า
“สหภาพแพทย์เอกชน”
ฉะนั้น สิ่งที่พึงกระทำคือ ระมัดระวังอย่าสร้างระบบที่ส่งเสริมหรือ
ผลักดันให้บุคลากรในวิชาชีพตกอยู่ใน“บ่วงบาป”เช่นนั้น
อย่ายืนยันหรือปฏิเสธเลยว่า กระทรวงสาธารณสุขจะแก้ปัญหา
“หมอล่าแต้ม” ได้ เพราะแม้แต่ประเทศที่ “กฎหมายเป็นใหญ่” และมี
รัฐบาลที่ต้องฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนอย่างสหรัฐฯ ก็ยังแก้ปัญหา
เหล่านี้ไม่ได ้
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0
พีฟอร์พี มีแต่ เสีย-เสีย-เสีย
5. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่านายแพทย์ณรงค์ สหเมธา-
พัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้มีเจตนาดีที่จะทำหน้าที่ของ
ตนให้ดีในเรื่องพีฟอร์พี แม้จะมี“มิจฉาทิฐิ”อยู่มากก็ตาม โดย
ที่นายแพทย์ณรงค์ยังมี“อายุราชการ”อีกสองปีเศษจึงขอเล่า
“แบบอย่าง”ของผู้มีสติปัญญาในการแก้ปัญหาบ้านเมืองไว้ให้เป็น
อุทาหรณ์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2517 ในรัฐบาลของ
ศาสตราจารย์สัญญาธรรมศักดิ์ซึ่งมีรัฐมนตรีคลังคืออาจารย์บุญ-
มา วงษ์สวรรค์ ตอนนั้นเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน เพราะเกิดกลุ่ม
ประเทศโอเปคซึ่งสามารถรวมหัวกันกำหนดราคาน้ำมันได้สำเร็จ
ราคาน้ำมันจึงแพงขึ้นแบบก้าวกระโดดเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ไปทั่วโลกประเทศไทยกำลังอยู่ในยุค“ประชาธิปไตยเบ่งบาน”
หลังเหตุการณ์14ตุลาคม2516 เกิดการประท้วงนัดหยุดงานไปทั่ว
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
และมีการชุมนุมครั้งใหญ่ของผู้ใช้แรงงานที่สนามหลวงเพื่อเรียกร้องให้กำหนด
ค่าแรงขั้นต่ำวันละ25บาทขณะที่ลูกจ้างตำแหน่ง“ผู้ช่วยเหลือคนไข้”ซึ่งแต่ง
ชุดเหลืองในโรงพยาบาลจังหวัดเวลานั้นได้ค่าจ้างเพียงเดือนละ200บาท
สมัยนั้นข้าราชการได้รับอภิสิทธิ์คือได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีซึ่งเป็น
ความไม่เป็นธรรมท่านอาจารย์บุญมาต้องการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมคือ
จะให้ข้าราชการต้องเสียภาษีเงินได้เหมือนประชาชนทั่วไปงานนี้เป็นงานยาก
เพราะข้าราชการเป็น “กลุ่มพลัง” (Pressure Group) ที ่เข้มแข็งที ่สุด การ
เปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. 2475ส่วนหนึ่งเกิดขึ ้นก็เพราะมีการ“ดุล”
ข้าราชการออกจึงเป็นเรื่องยากที่จะไปตัดอภิสิทธิ์ที่มีมาช้านานของข้าราชการลง
ได้แต่อาจารย์บุญมาก็ทำสำเร็จโดยไม่มีข้าราชการคนใดต่อต้านเลย
“เคล็ดลับ”หรือวิธีการสำคัญของอาจารย์บุญมาก็คือทำบัญชีเงิน
เดือนข้าราชการใหม่ทั้งหมดเพิ่มเงินเดือนให้แก่ทุกคนพร้อมกับให้หักภาษีณที่
จ่ายแต่หักแล้วทุกคนก็ยังได้เงินเดือนเพิ่มกันทั่วหน้า
งานนี้สำเร็จเพราะเรื่องที่ให้ข้าราชการต้องเสียภาษีเหมือนประชาชน
ทั่วไปเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมยากที่ใครจะโต้แย้งได้แต่ใช้จังหวะเริ่มเก็บภาษี
พร้อมกับการขึ้นเงินเดือนให้มากกว่าภาษีที่จะเสียในขณะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
ของประเทศจึงไม่มีใครรู้สึกว่าเป็น“ผู้สูญเสีย” มีแต่ได้กับได้
แต่กรณีพีฟอร์พีไม่ใช่เช่นนั้น
นายแพทย์เทียม อังสาชนอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรีหนึ่ง
ในโรงพยาบาลนำร่องพีฟอร์พีบอกว่าตอนที่รับทำเรื่องนี้ ถือหลักสำคัญคือ
“ทั้งสามฝ่ายต้องได้ประโยชน์” (win-win-win)คือ1)คนไข้ต้องได้ประโยชน์2)
เจ้าหน้าที่ต้องได้ประโยชน์และ3)โรงพยาบาลต้องได้ประโยชน์
ถ้าทำอย่างกรณีจ่ายเงินพิเศษให้โรงพยาบาลกรณีทำหมันรายละ200
บาทหรือกรณีจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงานในขณะอยู่เวรนอกเวลาราชการ
และในวันหยุดราชการแม้มีปัญหาบ้างก็แก้ไขได้
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
เรื่องพีฟอร์พีนี้ถ้าจะทำจะต้องทำอย่างถูกหลักการถูกจังหวะและถูก
วิธีนั่นคือ1) เลือกทำเฉพาะเรื่องที่แน่ใจว่าได้ประโยชน์ตามที่สำนักงานพัฒนา
นโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)แนะนำไว้ 2) ใช้วิธีจูงใจให้ทำ ไม่ใช่
บังคับ3) ให้ทำเพิ่มเติมจากระบบเดิม (on top) ไม่ฉวยโอกาสไปล้มเลิกระบบ
จูงใจที่ได้ผลที่มีอยู่แล้ว 4) จะต้องเตรียมการให้ละเอียดรอบคอบมากกว่านี้
เพราะการทำงานกับหน่วยงานทั่วประเทศอย่างนี้ทุกอย่างต้อง“เนียน”อย่าลืม
ภาษิตการบริหารที่ว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด” (Devil is in detail) ถ้าไม่
พิจารณารายละเอียดให้ดีก็จะเจอ“ปีศาจ”คือปัญหามากมาย
จำได้ไหมสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เคยใช้ระบบ
พีฟอร์พีอย่าง“มืออาชีพ”และได้ผลดีมาแล้วเช่นระบบจูงใจให้ผ่าตัดต้อกระจก
ระบบจูงใจให้ผ่าตัดวางสายล้างไตทางหน้าท้องระบบจูงใจให้ผ่าตัดหัวใจและ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
ระบบจูงใจให้ผ่าตัดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ฯลฯระบบเหล่านี้ดีต่อคนไข้
อย่างมากบุคลากรก็พอใจแต่กระทรวงสาธารณสุขยัง“ขัดขวาง”อ้างว่าทำให้
“เสียการบังคับบัญชา”บุคลากรให้ความสำคัญกับงานที่มี“สิ่งจูงใจ”จาก
ภายนอกขนาดคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีมติให้ทำได้ โดยใน
คณะกรรมการดังกล่าวมีรัฐมนตรีสาธารณสุขเป็นประธานและปลัดกระทรวง
สาธารณสุขเป็นกรรมการอดีตปลัดกระทรวงที่ร่วมประชุมครั้งนั้นยังไปหาวิธีการ
ขัดขวางเพียงเพราะรู ้สึกว่า “กระทบต่ออำนาจ”ของผู้บริหารของกระทรวง
เท่านั้นแม้พบว่าประชาชนได้ประโยชน์อย่างมากก็ยัง“ใจดำ”และ“หาเรื่อง”
ขัดขวางจนได้
พีฟอร์พีที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสาธารณสุขดึงดันทำไปครั้งนี้ผิด
หลักการอย่างร้ายแรงทั้งสามฝ่ายนอกจากไม่ได้ประโยชน์ยังเสียประโยชน์ ข้อ
สำคัญระบบบริการสาธารณสุขยังถูกกระทบอย่างรุนแรงเพราะเมื่อแพทย์ชนบท
ออกมาประท้วง แทนที่จะดับไฟที่ต้นเหตุ กลับปลุกระดมหลายฝ่ายออกมา
“ชน” ทำให้เกิด“สามัคคีเภท”ครั้งใหญ่ในระบบสาธารณสุขซึ่งผลที่สุดย่อม
กระทบต่อประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จึงไม่แปลกที ่บรรดา “วิทยากร” ที ่กระทรวงสาธารณสุขพยายาม
“ดันหลัง” ให้ออกมาเดินสาย“จูงใจ” ให้ทำพีฟอร์พี เช่นจากรพ.พานและ
รพ.สูงเนินต่างขอถอนตัวและออกไปเป็นฝ่ายคัดค้านเรื่องนี้แล้ว
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีโรงเรียนแพทย์อยู่ด้วยมีการ“นำร่อง”ทำ
พีฟอร์พีแล้วเกิดปัญหามากมายอธิการบดีซึ่งก็เป็นแพทย์กล่าวถึงพีฟอร์พีว่า
ไม่ใช่แค่“ใช้ยาผิด”แต่มันคือ“ยาพิษ”
ปัญหาเรื่องนี้ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุดคือ รัฐมนตรีสาธารณสุข
ก็ต้องติดตามดูว่า คุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะ “อุ้ม” คน
ประเภทนี้ไว้ใช้อีกนานแค่ไหน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
นิทานเรื่องคนก่ออิฐ
6.
นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้เล่านิทานเรื่องคน
ก่ออิฐเป็นเรื่องของคนก่ออิฐสามคนกำลังก่ออิฐอยู่ใกล้ๆกันมีคน
มาถามว่ากำลังทำอะไรคนแรกตอบว่า“กำลังก่ออิฐอยู่นี่ไงไม่เห็น
เรอะ”คนที่สองตอบว่า“กำลังก่อกำแพง”ส่วนคนที่สามตอบว่า
“กำลังสร้างวัด”
คนก่ออิฐคนแรกมองไม่เห็นความเชื่อมโยงของงานที่ทำ
ว่านำไปสู่อะไรคนที่สองดีขึ้นมาหน่อยที่เห็นว่าสิ่งที่ทำจะก่อเป็น
กำแพงแต่คนที่สามเห็นคุณค่าของงานที่ทำว่ากำลังสร้างวัดเพื่อสืบ
พระศาสนา
แท้จริงแล้วมนุษย์มีมิติด้านจิตใจ และปัญญาที่ต้องการ
ทำให้ชีวิตมีคุณค่า งานที ่ทำหากเกิดผลเพียง “มูลค่า” คือค่า
ตอบแทนเป็นตัวเงินเท่านั้นจะทำให้ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ลงไป
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
นิทานเรื่องคนก่ออิฐ
เรื่อยๆผู้ที่สะท้อน“ความเจ็บปวด”ในเรื่องนี้ออกมาได้อย่างมีศิลปะและสร้าง
ความสะเทือนใจให้แก่คนทั้งโลกคือชาร์ลีแชปลินในภาพยนตร์เรื่องโมเดิร์นไทม์
(ModernTime)ที่สมัยนั้นกำลังเข้าสู่ยุคพัฒนาอุตสาหกรรมหลักการแยกงาน
เป็นชิ้นๆซอยออกเป็นส่วนๆให้คนแต่ละคนทำเฉพาะส่วนย่อยๆเท่านั้นซึ่งจะ
ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างมากมายมหาศาลอย่างการผลิตรถยนต์ที่คน
งานแต่ละคนทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวในสายพานการผลิต เช่นขันน็อตเพียงตัว
เดียวที่ส่วนหนึ่งของรถคุณค่าที่แท้จริงของงานที่ทำจึงหมดไปและคนกลายเป็น
ส่วนหนึ่งของเครื่องจักรซึ่งภาพยนตร์ของชาร์ลีแชปลินสร้างให้ตัวละครคือ
ชาร์ลีแชปลิน เองทำหน้าที่ขันน็อตเท่านั้นจนสภาพความเป็น “คน”หมดไป
คนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรและสายพานการผลิตท่าขันน็อตติดตัวไป
แม้เมื่อเลิกงานแล้ว
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ระบบพีฟอร์พีที ่กระทรวงสาธารณสุขพยายามจะนำมาใช้อย่างผิดๆ
นอกจากไม่เกิดผลดีตามที่หวังแล้วจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานกลายสภาพเป็นคน
ก่ออิฐคนแรกไปเรื ่อยๆดังความเห็นของทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาลซึ่ง
ศึกษาเรื่องพีฟอร์พี และได้ชี้ว่าพีฟอร์พีจะทำให้“การรักษาพยาบาลในระบบ
สาธารณสุขไทยเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมอุดมคติทางการแพทย์ที่ทำงานรักษา
เพื่อสุขภาพผู้ป่วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วยไปเป็นการรักษาให้ได้ปริมาณ
มากเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมาก การมองผู้ป่วยเป็นชิ้นงาน มากกว่ามองเป็นคน
จะค่อยๆ เกิดขึ้น และหล่อหลอมให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาล
กลายสภาพจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งความจริงเป็น “หายนธรรม” และสิ่ง
เหล่านี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขไทยในอนาคต”
ทพ.ดร.ธงชัยสรุปว่า“หากนำพีฟอร์พีแบบไทยไปใช้ทั่วประเทศ สุขภาพ
ของคนไทยจะไม่ดีขึ้น... แม้ปริมาณการรักษามากขึ้น แต่เป็นการรักษาที่เป็นไป
เพื่อค่าตอบแทน ไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์สุดท้ายของสุขภาพ ไม่ส่งเสริมการทำงาน
ป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพ ไม่สนับสนุนการทำงานแบบบูรณาการและการ
ทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพแพทย์ ทั ้งนี ้เราไม่สามารถโทษว่าบุคลากรทางการ
แพทย์ไม่มีจริยธรรมในการรักษา แต่ตัวระบบที่ใช้เป็นตัวบีบบังคับให้บุคลากร
ทางการแพทย์ค่อยๆ ถูกกลืนไปทีละเล็กละน้อย จนไม่รู้ตัว”
วิชาชีพอิสระโดยเฉพาะอย่างแพทย์และทันตแพทย์ ถ้าไม่ ได้ “ใจ” กันแล้ว บอกได้คำเดียวว่ายาก โดยเฉพาะแพทย์ที่หล่อหลอมจิตวิญญาณและประสบการณ์การต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมมาอย่างยาวนานอย่างแพทย์ชนบท
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
การสั่งการบังคับให้มีการใช้ระบบพีฟอร์พีทั่วประเทศจึงเป็นการสร้าง
หายนะให้แก่ระบบบริการสาธารณสุขไทยในระยะยาว
ผู้เขียนเชื่อว่าปลัดกระทรวงสาธารณสุขคือนายแพทย์ณรงค์สหเมธา-
พัฒน์ตั้งใจทำเรื่องนี้โดยบริสุทธิ์ใจไม่มีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงแต่ทำ
ไปเพราะสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าเป็น“มิจฉาทิฐิ”ประการแรกคือ เข้าใจว่าวิธีการ
พีฟอร์พีจะช่วยให้ระบบบริการสาธารณสุขมีคุณภาพดีขึ ้น ประชาชนจะได้
ประโยชน์มากขึ้นปัญหานี้เกิดจากมิได้ศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้และอาจเกรงกลัว
ต่ออำนาจรัฐมนตรีด้วยจึงผลีผลามทำลงไปโดยไม่มีการตระเตรียมให้พร้อม
ทั้งด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธีประการที่สอง เป็นความสำคัญผิดคิดว่าเป็น
ปลัดกระทรวงแล้วจะสั่งการอย่างไรก็ได้ทุกคนต้องยอมรับอำนาจในฐานะเป็น
ผู้บริหารสูงสุดในฝ่ายราชการประจำแท้จริงแล้วอำนาจไม่สามารถบังคับคนหมู่
มากได้โดยเฉพาะถ้าผู้อยู่ใต้อำนาจไม่เชื่อในสิ่งที่ถูกบังคับให้ทำ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างเช่นนี้ให้ศึกษามากมายขอยกตัวอย่างกรณี
พระเจ้าอักบาร์มหาราชพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์โมกุลซึ่งเป็นราชวงศ์
ที่ครองอำนาจในอินเดียยาวนานหลายร้อยปีพระเจ้าอักบาร์มหาราชครองราชย์
อยู่ถึง49ปีทรงเป็นมุสลิมแต่ปกครองคนอินเดียซึ่งส่วนใหญ่เป็นฮินดูทรงเป็น
พระจักรพรรดิที่มีสายพระเนตรยาวไกลและทรงใช้เมตตาธรรมในการปกครอง
ไพร่ฟ้าประชาชนอย่างกว้างขวางทรงให้เสรีภาพทางศาสนาและมีพระประสงค์
จะหลอมรวมคนต่างศาสนาเข้าด้วยกันด้วยการตั้งศาสนาใหม่คือ“ทิพยศรัทธา”
(DivineFaith)ซึ่งรวมคำสอนของศาสนาต่างๆ เข้าด้วยกันทรงเป็น“ศาสดา”
หรือผู ้นำของศาสนาใหม่นี ้ด้วยพระองค์เอง แต่ตลอดพระชนมชีพนับแต่ตั ้ง
ศาสนานี้ในปีพ.ศ.2124จนสวรรคตรวมเวลาถึง24ปีมีผู้ศรัทธาเข้าสู่ศาสนานี้
เพียง19คนหลังเสด็จสวรรคตเมื่อพ.ศ.2148ไม่นานศาสนานั้นกป็ลาสนาการไป
พีฟอร์พีมีการใช้อย่างรอบคอบในอังกฤษและหลายประเทศยังพบว่าไม่
ได้ผลตามที่ประสงค์ และบังเกิดผลไม่พึงประสงค์ที ่ชัดเจน แต่พีฟอร์พีที ่นำ
มาใช้อย่างผิดๆของกระทรวงสาธารณสุขจะไปบังคับให้โรงพยาบาลในสังกัด
ทั่วประเทศเชื่อฟังและทำตามจะเป็นไปได้อย่างไร
วิชาชีพอิสระโดยเฉพาะอย่างแพทย์และทันตแพทย์ถ้าไม่ได้ “ใจ”
กันแล้ว บอกได้คำเดียวว่ายาก โดยเฉพาะแพทย์ที่หล่อหลอมจิตวิญญาณ
และประสบการณ์การต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมมาอย่างยาวนาน
อย่างแพทย์ชนบท
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
7. บทส่งท้าย
การ“ดันทุรัง”ประกาศใช้พีฟอร์พีทั้งๆที่ไม่มีโอกาสที่จะเกิด
วิน-วิน-วินกับทั้งสามฝ่ายคือประชาชน-บุคลากร-โรงพยาบาลตรงกัน
ข้ามกลับเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะเกิดการต่อต้านอย่าง
รุนแรง และกระทรวงสาธารณสุขก็พยายาม “เอาชนะ” โดยปลุก
กระแสขึ้นมาต่อต้านผู้คัดค้านจนทำให้เกิดการแตกแยกอย่างรุนแรงใน
วงการสาธารณสุขทำให้น่าสงสัยว่าการดึงดันบังคับให้ทำพีฟอร์พีอาจ
มีมูลเหตุเบื้องหลังที่จะทำให้ระบบบริการสาธารณสุขภาครัฐอ่อนแอลง
เพื่อเปิดทางให้บริการภาคเอกชนเข้ามา“หาประโยชน์”จากเม็ดเงิน
ก้อนโตในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทยที่ใช้เงินปีละกว่า
สองแสนล้านบาท
การยกเลิกหรือลดเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายย่อมมีผลทำให้ระบบ
จูงใจแพทย์ให้อยู ่ในชนบทอ่อนแอลง การขาดแคลนแพทย์ชนบท
เป็นปัญหาเรื้อรังอยู่แล้วย่อมไม่อยู่ในสมองของแพทย์นักธุรกิจอย่าง
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0
นายแพทย์ประดิษฐสินธวณรงค์จะสนใจ เพราะในชีวิตไม่เคยออกไป“ชดใช้
ทุน” ในชนบทจึงไม่มีโอกาสซึมซับกับความทุกข์ยากของประชาชนในชนบท
เนื่องจากตลอดชีวิตหมกมุ่นอยู่แต่การสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและธุรกิจของ
ตนเท่านั้นการที่แพทย์ชนบทขาดแคลนจึงไม่ใช่ปัญหาที่นายแพทย์ประดิษฐ
จะต้องเดือดร้อนตรงข้ามอาจเกิดความพอใจเพราะจะทำให้โรงพยาบาลเอกชน
ที่กำลังขยายธุรกิจออกไปในส่วนภูมิภาคได้แพทย์มาทำงานได้ง่ายขึ้นและจะได้
เปรียบในการแข่งขันทำกำไรด้วย เพราะโรงพยาบาลชุมชนอ่อนแอลงเท่าไร
คนไข้ก็จะไหลเข้าเมืองและเข้าโรงพยาบาลเอกชนมากเท่านั้น
การใช้ระบบพีฟอร์พี เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวตัวแรกคือ
ทำให้โรงพยาบาลรัฐโดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนอ่อนแอลงตัวที่สองคือทำให้
จิตวิญญาณแพทย์พยาบาลซึ่งเป็น“วิชาชีพ” ถูกทำลายไปทีละน้อยๆจนกลาย
เป็น“เครื่องมือทำเงิน”ให้แก่โรงพยาบาลเอกชนโดยเต็มใจได้ง่ายขึ้น
น่าคิดว่า ถ้าสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระ-
บรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทยปัจจุบันของไทย ยังทรง
พระชนม์ชีพและทรงได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จะทรงเศร้าสลดพระทัย
เพียงใด
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
การคิดเบี้ยเลี้ยงตามภาระงาน
ภาคผนวก
ส่งเสริมหรือทำลายจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ? แสวง บุญเฉลิมวิภาส *
การปรับเปลี่ยนวิธีคิดเบี้ยเลี้ยงแบบเดิมมาเป็นวิธีจ่ายตามภาระ
งานหรือเรียกกันแบบฝรั่งว่า P for P (Pay for Performance - P4P)ที่
กระทรวงสาธารณสุขได้นำแนวคิดนี้มาใช้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งใน
กระทรวงสาธารณสุขการใช้ระบบดังกล่าวหากพิจารณาในหลักการดู
เหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี กล่าวคือ ใครทำงานมากย่อมได้ค่าตอบแทนมาก
ซึ่งก็คือหลักบริหารโดยทั่วๆ ไปแต่เมื่อนำหลักดังกล่าวมาใช้กับลักษณะ
งานทางการแพทย์ซึ่งมีลักษณะเป็นวิชาชีพ(Profession)อาจจะมีความไม่
เหมาะสมและสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารในกระทรวงยังไม่เข้าใจลักษณะ
งานที่เป็นวิชาชีพ (Profession)อย่างแท้จริงว่าการประกอบวิชาชีพมีความ
แตกต่างจากการประกอบอาชีพ (Occupation) โดยทั่วไปและแตกต่างจาก
* ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานกรรมการจริยธรรมประจำราชบัณฑิตยสถาน และกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
การประกอบธุรกิจ(Trade)อย่างมากหรืออาจจะมีความเข้าใจแต่จงใจที่จะปรับ
เปลี่ยนให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่ตนต้องการ
1. ความหมายและลักษณะงานที่เป็นวิชาชีพ
หากทราบความเป็นมาของคำว่าProfessionจะพบว่าคำนี้มีความ-
หมายอย่างยิ่งคำว่าProfessionมาจากคำกริยา “to profess”จากรากศัพท์
ภาษาลาตินว่า Pro+fateri แปลว่า ยอมรับหรือรับว่าเป็นของตน เดิมคำนี ้
ใช้ในเรื ่องของศาสนาหมายความว่าเป็นการประกาศปฏิญาณตนซึ่งพลตรี
พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้เคยให้ความหมายของ
วิชาชีพว่าอาชีวปฏิญาณซึ่งอาชีวปฏิญาณดั้งเดิมได้แก่วิถีทางของนักบวชซึ่ง
ต้องเคร่งครัดในระเบียบวินัยที่วางไว้ ในเวลาต่อมาได้ขยายมาถึงนักกฎหมาย
และแพทย์ซึ่งลักษณะของงานที่เป็นProfessionจะเป็นดังนี้
(1) เป็นงานที่มีการอุทิศตนทำไปตลอดชีวิต โดยคำนึงถึงประโยชน์ของ
ส่วนรวมเป็นสำคัญเป็นงานที่มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือประชาชน
(2)การงานนั้นต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นเวลานานหลายปีคือมี
การศึกษาโดยเฉพาะในวิชานั ้น มีการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์แบบในทาง
วิทยาศาสตร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง (Prolonged formal scientific training) เป็นการ
ศึกษาอบรมทางความคิด(Intellectual)ยิ่งกว่าการใช้มือ(Manual)และแรงงาน
(3)มีชุมชนหรือหมู่คณะที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำนึกในจรรยา-
บรรณและมีองค์กรที่จะคอยสอดส่องดูแลให้การทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพ
อยู่ในกรอบของจริยธรรม
จะเห็นว่าความหมายของProfessionต่างกับOccupationซึ่งเป็นการ
ประกอบอาชีพโดยทั่วไปและต่างจากTradeซึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจการค้า โดย
ลักษณะของProfession เป็นงานที่ผู้ประกอบการงานนั้นมีความตั้งใจอุทิศตัว
ช่วยเหลือประชาชนเมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจึงอยู่บน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
พื้นฐานของความนับถือไว้เนื ้อเชื ่อใจซึ ่งกันและกันที ่เรียกว่าเป็น Fiduciary
Relationshipแต่เมื่อProfessionถูกทำให้เป็นTradeความสัมพันธ์ดังกล่าวก็จะ
ค่อยๆหมดไป
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่ผ่านมาก็คือการนำโรง
พยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ความเป็นวิชาชีพแปรเปลี่ยนไปเป็น
ธุรกิจ โรงพยาบาลหลายแห่งที่ถูกนักการเมืองและนักธุรกิจที่เป็นแพทย์
บ้าง ไม่ใช่แพทย์บ้าง เข้าครอบงำ โดยมองความเจ็บป่วยเป็นธุรกิจที่ทำ
กำไรได้ มองผู้ป่วยว่าเป็นลูกค้า และตามด้วยการโฆษณาที่แอบแฝง
หรือเกินความเป็นจริง เพราะนั่นคือความปกติที่ธุรกิจมักจะทำกัน ความ
สัมพันธ์ที่เป็น Fiduciary ก็จะถูกแปรเปลี่ยนเป็น Contractual Relationship
คือเป็นความสัมพันธ์กันในเชิงสัญญาเข้าแทนที่
2. เมื่อวิชาชีพถูกแปรเปลี่ยนเป็นธุรกิจและอิสระของวิชาชีพถูกคุกคาม
เมื่อนักธุรกิจและนักการเมืองเข้าครอบงำงานทางด้านการแพทย์และ
นำนโยบายแบบธุรกิจมาบริหารอิสระของวิชาชีพย่อมถูกกระทบไปด้วยความ
สัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้บริหารโรงพยาบาลที่เคยเป็นความสัมพันธ์แบบผู้
ร่วมวิชาชีพ จะกลายเป็นการบังคับบัญชาแบบผู้มีอำนาจเหนือ การแสดง
ความคิดเห็นจะถูกจำกัด กลายเป็นเพียงทำงานเพื่อสนองนโยบาย และ
ลุกลามเข้าไปในส่วนที่เป็นดุลยพินิจหรืออิสระของวิชาชีพ เกิดระบบตรวจ
สอบว่าแพทย์แต่ละท่านตรวจผู้ป่วยชั่วโมงละกี่ราย ให้ผู้ป่วยนอนรักษาตัวที่
โรงพยาบาลกี่รายมีการกำหนดแนวทางให้สั่งยามากเกินความจำเป็นสั่งให้
พยาบาลต้องนอบน้อมยกมือไหว้ผู้ป่วยเหมือนร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นเรื่องของ
รูปแบบมากกว่าทำด้วยจิตใจเหมือนในอดีตผู้ประกอบวิชาชีพส่วนหนึ่งถูกทำให้
เป็นเวชบริกรเหมือนที่ผู้มีอำนาจสั่งนักกฎหมายส่วนหนึ่งให้เป็นเนติบริกร เมื่อ
อิสระของวิชาชีพถูกทำลายลงปัญญาถูกบดบังโดยอำนาจเกียรติของวิชาชีพจะ
ค่อยๆหายไปแม้แต่สภาวิชาชีพก็ถูกครอบงำด้วยวิธีคิดในระบบทุนนิยม
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
หากศึกษาให้เข้าใจถึงลักษณะงานที่เป็นวิชาชีพ ก็จะเข้าใจว่าการ
ประกอบวิชาชีพของแพทย์และนักกฎหมายต่างกับการประกอบอาชีพโดยทั่วไป
เพราะการทำงานต้องใช้ความรู้โดยเฉพาะและต้องใช้ความรู้ในการตรวจวินิจฉัย
ให้ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ที ่มาขอความช่วยเหลือ ลักษณะงานเช่นนี้จึงต้องมี
ความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานไม่เหมือนการทำงานในลักษณะอื่นแพทย์
และนักกฎหมายจึงต้องมีอิสระของวิชาชีพในการทำงานหากจะถามแพทย์หรือ
นักกฎหมายว่าผู้ป่วยหรือผู้ที่มาขอคำปรึกษา20คนจะต้องใช้เวลาเท่าไรคำ
ตอบคือยังตอบไม่ได้ไม่เหมือนการผลิตสินค้าในโรงงานหรืองานบริการอย่างอื่น
ที่กำหนดเวลาได้ การตรวจผู้ป่วยได้เร็ว ได้จำนวนมากมิได้แปลว่าทำงานดี
เสมอไปหากกำหนดนโยบายเช่นนี้ โดยไม่เข้าใจลักษณะงานที่แท้จริงของความ
เป็นวิชาชีพจะส่งผลโดยตรงให้กระทบต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพที่ครูบาอาจารย์
พร่ำสอนกันไว้ว่า เวลาตรวจผู้ป่วยต้องคุยกับผู้ป่วยให้เกิดความเข้าใจต้องตรวจ
ร่างกายต้องใช้ความรู้อย่างรอบคอบในการวินิจฉัยโรคต้องให้เวลาผู้ป่วยได้
ซักถามการกำหนดภาระงานจะต้องคำนึงถึงความจริงเหล่านี้เป็นสำคัญ
3. นโยบาย Medicul Hub เพื่อรักษาคนต่างชาติและการดึงบุคลากรทาง
ด้านการแพทย์ออกจากภาครัฐ
นโยบายMedicalHubที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์สุขภาพและดึง
ต่างชาติมารับการรักษาพยาบาลดูโดยผิวเผินเหมือนจะดีเพราะมีเงินไหลเข้า
ประเทศไทยแต่ในความเป็นจริงต้องถามว่าเงินไหลเข้ากระเป๋าใครการกำหนด
นโยบายเช่นนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับกลุ่มนายทุนที่ได้ทำให้งานการแพทย์เป็น
ธุรกิจผลกระทบที่มีต่อสังคมอย่างมากก็คือการซื้อตัวบุคลากรทางแพทย์ออก
จากภาครัฐยิ่งนโยบายภาครัฐทำให้ค่าตัวของบุคลากรถูกลง การดึงคน
ออกจากภาครัฐ ก็ยิ่งทำได้ง่ายขึ้น บุคลากรที่ถูกดึงออกจากภาครัฐ แม้จะ
มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะการที่ทำให้วิชาชีพ
แพทย์กลายเป็นธุรกิจ จะทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น เมื่อชาวบ้าน
ถูกเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลที่แพงมากความสัมพันธ์ที่ดีย่อมลดลง
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
ชาวบ้านไม่รู้หรอกว่าใครถือหุ้นในโรงพยาบาล แต่จะมองว่าหมอและ
พยาบาลเปลี่ยนไป เมื่อถูกเก็บค่ารักษาพยาบาลมาก ประกอบกับโรงพยาบาล
โฆษณาว่ารักษาได้สารพัด ย่อมทำให้เกิดความความคาดหวังในบริการ
เมื่อผลออกมาไม่พึงประสงค์ ปัญหาการฟ้องร้องจะตามมาจะสังเกตเห็น
ว่าคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมากๆส่วนใหญ่จะเกิดในโรงพยาบาลเอกชนซึ่ง
หลายกรณีโรงพยาบาลก็ปฏิเสธความรับผิดและโยนความผิดมาให้แพทย์และ
พยาบาลการใช้กลไกแบบธุรกิจที่ขาดมนุษยธรรมมาบริหารโรงพยาบาล
ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพและประชาชน เมื่อเกิด
ปัญหาขึ้นกลับกลายเป็นปัญหาระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพกับประชาชน
ผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลมักไม่ต้องเข้าพัวพันด้วย เพราะเขาเป็นเพียงแต่
ผู้รับเงินปันผลปลายปี โดยมีแพทย์ส่วนหนึ่งเป็นผู้บริหารให้ตามนโยบาย
ที่วางไว้ ในเรื่องดังกล่าวนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้วบุคลากรในโรงพยาบาล
ของรัฐจะดีกว่าในแง่ที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทาง
ละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.2539 เพราะถ้าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของ
รัฐกฎหมายกำหนดให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานรัฐ จะฟ้องเจ้าหน้าที่
ไม่ได้
สิ่งที่นำเสนอไปนั้นคือความห่วงใยกับภัยที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคลากร
ทางการแพทย์และผลกระทบที่จะมีต่อภาคประชาชนผู้เขียนเคยพูดเรื่องเช่นนี้ใน
การประชุมวิชาการของแพทย์เมื่อประมาณ8ปีที่แล้วแต่แพทย์ส่วนหนึ่งก็ยัง
มองไม่เห็นภัยลักษณะนี้แพทย์ส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นแพทย์พาณิชย์
ร่วมมือกับกลุ่มทุนหาเงินใส่ตัวโดยไม่สนใจจรรยาบรรณวิชาชีพนโยบายทางการ
เมืองในระยะหลังได้ทำให้เกิดความแตกแยกกันในกลุ่มแพทย์ ซึ่งเมื่อเกิดการ
แตกแยกย่อมง่ายแก่การปกครอง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วใน
วงการแพทย์ของประเทศไทย และจะเกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนตามมา
มากขึ้น
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ข้อเท็จจริงของ
ภาคผนวก
ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Pay for Performance (P4P)
1. P4P แบบไทยแตกต่างกับในต่างประเทศ:
P4P ในไทยที ่จะนำมาใช้ เป็นระบบที ่กำหนดตามรายการ
(items) ที ่ให้บริการรักษาเป็นหลัก [1] โดยจะเป็นการจ่ายเงินค่า
ตอบแทนให้บุคลากรทางการแพทย์ตามรายการที่ทำผู้ที่ทำงานมาก (มี
ปริมาณงานมากใช้เวลามากหรือมีความยากของงานมาก)ก็จะได้รับ
ค่าตอบแทนมากซึ่งคล้ายกับFeeforservices(FFS)ในต่างประเทศ[2]
แต่ไม่ตรงกับความหมายของP4Pที่ใช้ในต่างประเทศ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
2. P4P ในต่างประเทศเน้นเรื่องคุณภาพของบริการรักษาเป็นหลัก
ในรายงานทบทวนวรรณกรรมP4Pของนานาชาติได้ระบุว่าP4P เป็น
ระบบการจ่ายเงินที่เน้นการพัฒนาคุณภาพบริการ (quality improvement)ซึ่ง
บุคลากรทางการแพทย์จะได้เงินค่าตอบแทนเมื ่อสามารถให้บริการได้ตาม
คุณภาพที่กำหนดไว้ (achievementof certain quality benchmark for process
measure)และได้ผลลัพธ์สุขภาพที่ดีของผู้ป่วย (Outcomemeasure) [3]ดังนั้นใน
สหราชอาณาจักรจะเรียกP4Pว่าTheQualityandOutcomeFramework(QOF)
เพื่อที่จะสะท้อนคุณภาพและผลลัพธ์สุขภาพโดยมีตัวชี้วัด76ตัวสำหรับ10
กลุ่มโรค [4]และพัฒนามาเป็น146ตัวใน19กลุ่มโรคโดยมีคะแนนเต็ม1,000
คะแนนแบ่งเป็น5หมวดคือบริการทางคลินิก (Clinicaldomain)655คะแนน
การจัดการในองค์กร(Organizationaldomain)181คะแนนประสบการณ์ของผู้รับ
บริการ (Patient experience domain) 108 คะแนน การให้บริการเพิ ่มเติม
(Additional services domain) 36คะแนนบริการแบบองค์รวม (Holistic care
domain) 20คะแนน โดยสถานบริการ (ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์) จะได้
ค่าตอบแทนคะแนนละประมาณ125ปอนด์และสถานบริการใดได้คะแนนน้อย
กว่าร้อยละ30จะถูกยกเลิกสัญญาส่วนแพทย์ถ้าลงคะแนนเท็จ(ไม่ได้ให้บริการ
จริง)ก็จะถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป[5]
การจ่ายค่าตอบแทนP4P ในต่างประเทศมักจะพยายามออกแบบให้
จ่ายเฉพาะบริการที่จะส่งผลต่อสุขภาพหลักๆและผลลัพธ์สุขภาพเท่านั้น เช่น
ประเมินผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจCoronary heart diseaseที่มาวัดความดันโลหิต
ครั้งล่าสุดถ้าต่ำกว่า150/90mmทีมแพทย์ที่รักษาก็จะได้ค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษ
หรือกรณีการให้ค่าตอบแทนเพิ่มแก่ทีมแพทย์ในกรณีที่ผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้
[6]หรือในการรักษาผู้ป่วยในหากรักษาเสร็จสิ้นจนให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ หาก
ผู้ป่วยกลับมานอนในโรงพยาบาลอีก (Re-admit)ด้วยโรคเดิมหรือเกี่ยวเนื่องกับ
การรักษาเดิมแสดงว่าแพทย์ไม่ได้ให้บริการรักษาที่มีคุณภาพแพทย์ก็จะถูก
ลงโทษโดยการตัดเงินค่าตอบแทนพิเศษเป็นต้น
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
P4P เป็นระบบที ่ประเทศสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และอีก
หลายประเทศพยายามจะนำมาใช้แทนระบบ Fee-For-Service (FFS) เนื่องจาก
FFS ก่อให้เกิดปัญหาหลักคือ ปริมาณการให้บริการสุขภาพมากขึ ้น (High
volumesofhealthcareservices)โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของบริการสุขภาพ
หรือผลลัพธ์การรักษา (quality or outcomes) [7] ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่าย
บริการสุขภาพทั้งระบบเพิ่มมากขึ้น[8]
3. P4P แบบไทยไม่เหมาะกับการนำมาใช้ในบริการสาธารณสุข
การให้ค่าตอบแทนตามปริมาณงานที่ทำ เหมาะกับงานการผลิตและ
ภาคบริการที่ไม่สลับซับซ้อน เป็นวิธีคิดในเชิงธุรกิจโดยเฉพาะงานอุตสาหกรรม
ที่ใช้ค่าตอบแทนเป็นการจูงใจให้ทำงาน โดยมีสูตรคำนวนเวลาในการทำงาน
จำนวนชิ้นงานความยากง่ายของงาน [9]แต่บริการในโรงพยาบาลแตกต่างกับ
งานผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมเนื่องจาก
1. บริการสุขภาพไม่เหมือนบริการทั่วไป โดยข้อมูลและอำนาจของ
ผู้ให้บริการ (แพทย์)และผู้รับบริการ (ผู้ป่วย)แตกต่างกันอย่างมาก
ผู้ป่วยโดยเฉพาะในชนบทไม่มีสิทธิในการต่อรองสิทธิในการเลือก
บริการดังจะเห็นได้จากประโยคที่ชาวบ้านพูดอยู่บ่อยๆว่า“แล้ว
แต่หมอ”
2. การบริการสุขภาพมีความซับซ้อนมีบุคลากรหลากหลายสาขา
ร่วมมือกันโรคและการเจ็บป่วยมีความแตกต่างกันแม้ว่าจะเป็นโรค
เดียวกันในผู้ป่วยแต่ละรายก็ไม่เหมือนกันซึ่งทำให้การกำหนดค่า
คะแนนทำได้ยากแม้ว่าจะทำอย่างไรการกำหนดคะแนนก็จะมี
ความลักลั่น ไม่สามารถทำให้เหมาะสมได้กับทุกรายการและทุก
วิชาชีพได้
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
3. โรงพยาบาลชุมชนมีทร ัพยากรจำกัด จึงจำเป็นจะต้องมีการ
สร้างสรรค์งานใหม่ๆในการสร้างเสริมสุขภาพซึ่งภาวะดังกล่าวจะ
ไม่เกิดขึ้นในระบบP4Pแบบไทยเนื่องจากจะมีคะแนนให้จากงาน
ประจำเท่านั ้น หากมีการสร้างนวัตกรรมในการดูแลสร้างเสริม
สุขภาพผู้ป่วยก็จะไม่มีคะแนนให้
4. เป้าหมายหลักของโรงพยาบาลชุมชนที่เน้นในการป้องกันโรค (ใน
ระดับบุคคล)และสร้างเสริมสุขภาพ (ในระดับชุมชม)จะมีโอกาส
ถูกละเลยได้ทั้งนี้การกำหนดคะแนนในการให้บริการแม้ว่าการให้
งานป้องกันโรคจะมีคะแนนให้แต่การให้คะแนนนั้นเป็นไปตามราย
กิจกรรมที่ทำไม่ได้คำนึงถึงผลสำเร็จของงานป้องกันโรค
5. บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนมีวัฒนธรรมในการ
ทำงานตามอุดมคติและหัวใจความเป็นมนุษย์หากใช้ระบบการเก็บ
คะแนนตามปริมาณงานที่ทำใช้วัฒนธรรมที่เป็นตัวเงินมากำหนดก็
จะทำให้อุดมคติในการทำงานเพื่อประชาชนไม่มีพื้นที่ที่จะอยู่กลาย
เป็นทำงานภายใต้กระบวนทัศน์ของระบบกลไกซึ่งลดทอนคุณค่า
ความเป็นคนลงไป
4. ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากนำ P4P แบบไทย ไปใช้ทั่วประเทศ
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31มีนาคม 2556มีมติให้ “การจ่ายค่า
ตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข เป็นการจ่ายแบบผสมผสานระหว่างค่า
เบี้ยเลี ้ยงเหมาจ่ายตามพื้นที่และค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน” โดยมี
รายละเอียดระบุว่า “เป็นการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานทั้งการ
บริการผู้ป่วยนอกผู้ป่วยในการส่งเสริมสุขภาพการส่งเสริมป้องกันโรคการ
คุ้มครองผู้บริโภคงานในชุมชนงานบริหารงานวิชาการโดยให้คำนึงถึงคุณภาพ
ด้วย.......”ซึ่งหากนำมาใช้จริงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0
ก. คุณภาพในการรักษาลดลง เพราะไปเน้นที่ปริมาณในการรักษา
เป็นหลักจากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า
i. การบูรณาการในการรักษาไม่เกิดขึ้น: การรักษาที่ต้องมีการ
บูรณาการ (integrated care) จะทำได้ยากมีอุปสรรคมาก [10]
เนื ่องจากเป็นการจ่ายค่าตอบแทนแยกให้แพทย์แต่ละคน (one
providerperformsoneservice)การรักษาร่วมกันแบบบูรณาการเพื่อ
ผู้ป่วยจึงไม่เกิดขึ้นและถ้านำระบบนี้มาใช้ในโรงพยาบาลชุมชนซึ่ง
การทำงานเป็นสหวิชาชีพมีการบูรณาการการทำงานในชุมชนก็จะ
กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการทำงานชุมชน
ii. ความพึงพอใจของผู้ป่วยลดลง: จากรายงานการทบทวน
วรรณกรรมของCochraneพบว่าพฤติกรรมในการจ่ายเงินให้แพทย์
ในระบบบริการมีผลต่อพฤติกรรมการให้บริการของแพทย์ โดยการ
จ่ายเงินแบบFFSจะทำให้แพทย์ให้บริการรักษาในปริมาณที่มาก
กว่าการจ่ายเงินแบบเงินเดือนหรือเงินเหมาจ่ายรายหัว (Capitation)
โดยจะมีจำนวนครั ้งที ่ผู ้ป่วยมาพบแพทย์มากขึ ้น มาพบแพทย์
ต่อเนื่องมากขึ้นแต่ความพึงพอใจของผู้ป่วยลดลง[2]
iii.มีแนวโน้มที่จะให้การรักษาเกินความจำเป็น (overutilization
andunnecessarycare): เนื่องจากแพทย์มีผลประโยชน์ทับซ้อน
(conflictof interest) ในการดูแลผู้ป่วย [11] ไม่ว่าจะเป็นการตรวจ
วินิจฉัยโรคเกินความจำเป็น(overinvestigation)เช่นแพทย์ทั่วไปจะ
มีแนวโน้มในการถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยเพื่อวินิจฉัยโรคเพิ่มเติม
เพราะเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่แพทย์ [12]หรือการรักษาเกินความ
จำเป็น (over treatment) เช่น การจ่ายยาปฏิชีวนะมากเกินใน
ประเทศแคนาดาที่มีสาเหตุมาจากFFS [13]ทั้งนี้เนื่องจากบุคลากร
ทางการแพทย์มีแรงจูงใจทางด้านการเงินในการเพิ่มปริมาณงาน
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
โดยการรักษาที่เกินความจำเป็นนี้อยู่ในขอบเขตที่คลุมเครือ (gray
area)ของเกณฑ์จรรยาบรรณ
iv.ไม่เน้นผลลัพธ์สุดท้ายในการรักษา เพราะการรักษาให้ผู ้ป่วย
หายจากโรคไม่ได้คะแนนเพิ่มในขณะที่ถ้ารักษาผู้ป่วยแล้วไม่หายผู้
ป่วยกลับมาพบแพทย์ใหม่แพทย์จะได้คะแนนเพิ่มจากกิจกรรมและ
รายการบริการที่ให้ดังนั้นระบบนี้จะไม่ส่งเสริมให้แพทย์เน้นผลลัพธ์
สุขภาพของประชาชน เช่นการรักษาพยาบาลผู้ป่วยในหากให้
บริการที่ไม่มีคุณภาพผู้ป่วยไม่หายอยู่โรงพยาบาลนานแพทย์ก็จะ
ได้ค่าตอบแทนมากเป็นต้น
v. ทดลองใช้P4Pในไทยแล้วไม่สามารถเพิ่มคุณภาพการรักษา
ได้ จากการทดลองใช้ใน รพ.พาน เชียงราย และ รพ.สูงเนิน
นครราชสีมามาตั้งแต่ปี 2546 และได้ทดลองใช้ในอีกหลาย
โรงพยาบาลพบว่าสร้างแรงจูงใจกับผู้ปฏิบัติงานได้ มีผลิตภาพ
(Productivity) ในการทำงานสูงขึ้นแต่ไม่ได้ประเมินว่าสุขภาพของ
ประชาชนดีขึ้นหรือคุณภาพในการรักษาดีขึ้นหรือไม่
ข. วัฒนธรรมในการรักษาพยาบาลเปลี่ยนเป็นทุนนิยมการรักษา
พยาบาลในระบบสาธารณสุขไทยจะเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมอุดมคติทางการ
แพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วยไปเป็น
การรักษาให้ได้ปริมาณมากเพื่อได้ผลตอบแทนมากการมองผู้ป่วยเป็นชิ้นงาน
มากกว่าการมองผู้ป่วยเป็น“คน”จะค่อยๆ เกิดขึ้นและหล่อหลอมผู้ให้บริการ
ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ ซึ ่งความจริงเป็น
“หายนธรรม”และสิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขไทยใน
อนาคต
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ค. งานป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพในระบบสาธารณสุขไทยจะ
อ่อนแอลง ระบบนี้จะไม่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากรสาธารณสุข
ทำให้ไม่มีโอกาสที ่จะพัฒนากิจกรรม โครงการ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ใน
โรงพยาบาลชุมชนเนื่องจากงานนวัตกรรมใหม่ๆไม่มีคะแนนให้และเป้าหมาย
ในการบริการไม่ได้เป็นไปเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยแต่เป้าหมายจะเป็นไปเพื่อทำ
คะแนนจากรายบริการที่ให้
สรุป หากนำ P4P แบบไทยไปใช้ทั่วประเทศ สุขภาพของคนไทย
จะไม่ดีขึ้น ด้วยระบบการจ่ายเงินP4Pแบบไทยจะไม่ทำให้สุขภาพของคนไทย
ดีขึ้นแม้จะมีปริมาณการรักษามากขึ้นแต่เป็นการรักษาที่เป็นไปเพื่อค่าตอบแทน
ไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์สุดท้ายของสุขภาพ ไม่ส่งเสริมการทำงานป้องกันและ
สร้างเสริมสุขภาพไม่สนับสนุนการทำงานแบบบูรณาการและการทำงานเป็นทีม
สหวิชาชีพทั้งนี้เราไม่สามารถโทษว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีจริยธรรมใน
การรักษาแต่ตัวระบบที่ใช้เป็นตัวบีบบังคับให้บุคลากรทางการแพทย์ค่อยๆถูก
กลืนไปทีละเล็กละน้อยจนไม่รู้ตัวเหมือนคำกล่าวที่ว่า“อย่าเรียกร้องให้พืชพันธุ์
งอกงามภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย” เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ปัจเจกชนฝืน
กระแสของระบบและสิ่งแวดล้อมทางสังคม
5. แม้จะเปลี่ยนไปใช้ P4P แบบต่างประเทศ ก็ยังคงมีปัญหา
P4Pในต่างประเทศแม้จะพยายามออกแบบเพื่อมาใช้ทดแทน FFSมา
ตั้งแต่ต้นปี2000แล้วก็ตามจากการทบทวนวรรณกรรมต่างๆพบว่ามีข้อสรุป
หลายทิศทางทั้งการสรุปว่าP4Pได้ผลดีสรุปว่าไม่ได้ผลดีหรือมีข้อเสีย รวมทั้ง
ยังมีการสรุปว่ายังไม่สามารถสรุปได้ [14]แม้ว่าจะออกแบบให้คำนึงถึงคุณภาพ
ของบริการและผลลัพธ์สุขภาพของผู้ป่วยแล้วก็ตามการนำไปใช้ในระบบสุขภาพ
ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายในทางปฏิบัติปัญหาที่ยังคงพบในระบบP4Pในต่างประเทศ
คือ
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
ก. มีการเลือกผู้ป่วยที่เป็นโรคไม่รุนแรงและร่วมมือในการรักษาดี
เพื่อให้ง่ายต่อการทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาได้ผลดี และมีการ
พยายามปฏิเสธผู้ป่วยที่เป็นโรคซับซ้อนหรือผู้ป่วยที่ไม่ร่วมมือใน
การรักษา
ข. การขาดแคลนบุคลากรในสถานบริการที่มีผลลัพธ์งานต่ำ
เพราะเมื่อมีผลงานต่ำ(ผลลัพธ์สุขภาพไม่ดีขึ้นผู้ป่วยมีความร่วมมือ
น้อย)ก็จะได้ค่าตอบแทนต่ำทำให้บุคลากรลาออกไม่มีทรัพยากร
ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร
ค. ละเลยการทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นเพราะมุ่งทำงานตามตัวชี้วัด
เอกสารองค์การอนามัยโลกได้ระบุชัดว่าการใช้P4Pในการบริหาร
จัดการการให้บริการสุขภาพนั้นอาจจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “ทำ
อะไรบางอย่างให้ผู้ป่วย (doing things to patients)”หมายถึงการ
บริการทางการแพทย์จะเป็นการให้บริการอะไรไปบางอย่าง และสิ่ง
ที่ให้นั้นจะนำมาเพื่อจะใช้คำนวนการจ่ายค่าตอบแทนซึ่งจะทำให้มี
การละเลย“การรักษาให้ผู้ป่วยดีขึ้น (makepatients better)”ซึ่ง
ถือว่าเป็นหัวใจของการทำงานบริการสุขภาพและการพัฒนาตัว
ชี้วัดให้ครอบคลุมทำได้ยากมาก
ง. ปริมาณงานมาก คุณภาพการรักษาลดลง งานวิจัยที่ทบทวน
ระบบP4P[15]ที่ตีพิมพ์ในBritishMedicalJournalปี2011โดยได้
ทบทวนระบบP4Pในสหรัฐอเมริกา เยอรมนีและออสเตรเลียพบ
ว่า ระบบP4Pแม้จะทำให้ productivityของบริการทางการแพทย์
เพิ่มขึ้นแต่ไม่มีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิงได้ว่าจะทำให้ผู้ป่วยได้
รับบริการสุขภาพดีขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพการรักษาแต่
ในทางกลับกันอาจจะเกิดผลทางลบที่เรียกว่า “distortion effect”
คือจะไปลดคุณภาพในการรักษาลงเมื่อต้องให้บริการสุขภาพมาก
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
ขึ ้นเรื ่อยๆ เพราะมีแรงจูงใจที ่เป็นค่าตอบแทนมีโอกาสมากที ่
บุคลากรทางการแพทย์จะลดคุณภาพในการรักษาลง
จ. สุขภาพไม่ได้ดีขึ้น งานวิจัยของFleetcroftและคณะ [16] ในปี
2012ที่วิเคราะห์P4Pในประเทศสหราชอาณาจักรพบว่า เงินค่า
ตอบแทนที่เพิ่มลงไปในระบบP4Pทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ
ของประชาชนน้อยมากยิ่งไปกว่านั้นยังไปเพิ่มการให้บริการที่มีค่า
ตอบแทนสูง โดยที่บริการนั้นๆทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพน้อย
มากและบริการที่ไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนน้อยมากก็จะ
ถูกละเลยไป
ฉ. ไม่เหมาะกับบริการทันตกรรม รายงานจากวารสาร Journal for
Healthcare Quality ที ่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก National
InstitutesofHealthได้รายงานไว้เมื่อปี2010มีข้อสรุปว่า[17]ยังไม่
เหมาะสมและเป็นจริงในการนำ P4Pมาใช้กับงานทันตกรรมใน
วงกว้าง(large-scaleimplementation)โดยมีเหตุผลว่างานทันตกรรม
ส่วนใหญ่เป็นงานบริการผู้ป่วยนอก (P4Pที่ใช้ในการแพทย์มักจะ
เกี่ยวกับผู้ป่วยใน)และ“ทันตแพทย์จะรับระบบP4Pได้เมื่อระบบ
P4Pนั้นเชื่อมกับคุณภาพการรักษาได้”ซึ่งในปัจจุบัน“คุณภาพของ
การรักษาทางทันตกรรมยากที่จะวัดและประเมินได้อย่างชัดเจน”
6. ข้อเสนอแนะ P4P ของกระทรวงสาธารณสุข
ก. ไม่สนับสนุนการใช้ P4P แบบไทยทดแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย
ทั้งนี้เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
ในพื้นที่ชนบทซึ่งมีเป้าหมายแตกต่างกับP4P
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
ข. ไม่สนับสนุนการใช้ P4P เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหาร
บุคคลให้ทำงาน เนื่องจากทั้งสองเรื่องมีเป้าหมายต่างกันการใช้
P4Pแบบไทยเป็นการบริหารงานที่คิดว่าบุคลากรทางการแพทย์
มุ่งหวังผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินในการทำงานแต่ที่จริงแล้วคนที่
ทำงานทุกคนมีชีวิตจิตใจมีความต้องการในเรื่องความหมายและ
คุณค่าของตนต่องานที่ทำดังนั้นปัญหาในการบริหารคือทำอย่างไร
จึงจะบริหารงานโดยเน้นที่การทำให้“คน”มีความภาคภูมิใจในการ
ทำงานทำให้คนคนนั้นเป็นหัวใจสำคัญในการคิดปรับปรุงระบบการ
ทำงานให้ดีขึ้นมีผลงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อ
คุณภาพในการให้บริการและส่งผลถึงสุขภาพของประชาชนต่อไป
ค. ควรยกเลิกการใช้ P4P แบบไทย เนื ่องจากว่าไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์แต่อย่างใดต่อคุณภาพการรักษาของแพทย์ทำให้บุคลากร
ทางการแพทย์เข้าสู่ระบบโรงงานอุตสาหกรรม และระบบสาธารณสุข
โดยรวมอ่อนแอ โดยเฉพาะงานป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพ
ซึ่งผลเสียทั้งหมดจะตกอยู่กับประชาชนชาวไทยที่จะไม่ได้มีสุขภาพ
ดีขึ้นได้รับบริการการรักษาที่ด้อยคุณภาพลง
ง. หากจะใช้ P4P แบบต่างประเทศจะต้องเปลี่ยนชื่อเรียกที่สื่อถึง
การพัฒนาคุณภาพบริการและการคำนึงถึงผลลัพธ์สุขภาพของ
ผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อสื่อสารถึงเป้าหมายของการพัฒนาคุณภาพ
บริการและสุขภาพผู้ป่วยและจะต้องมีการศึกษาถึงผลดี ผลเสีย
ข้อจำกัดต่างๆ ในการใช้ และมีการทดลองใช้ในบางพื ้นที ่เพื ่อ
ประเมินผลคุณภาพบริการและสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วย
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �
เอกสารอา้งอิง
1.คู่มือการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (Pay for Performance: P4P).2556,
กระทรวงสาธารณสุข.
2. Gosden, T., et al.,Capitation, salary, fee-for-service and mixed systems of
payment: effects on the behaviour of primary care physicians.Cochrane
DatabaseSystRev,2000(3):p.CD002215.
3.Greene,S.E.andD.B.Nash,Pay for performance: an overview of the literature.
AmJMedQual,2009.24(2):p.140-63.
4.Campbell,S.M.,etal.,Effects of pay for performance on the quality of primary
care in England.NEnglJMed,2009.361(4):p.368-78.
5.ยงยุทธพงษ์สุภาพ,ด.น.ย.,การจ่ายตามภาระและการปฏิบัติงานที่มีผลสัมฤทธิ์.
2556,ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกด้านการพัฒนานโยบายและระบบ
บริการสุขภาพปฐมภูมิ.
6.Volpp,K.G.,etal.,A randomized, controlled trial of financial incentives for smoking
cessation.NEnglJMed,2009.360(7):p.699-709.
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �
7.Miller,H.D.,From volume to value: better ways to pay for health care.HealthAff
(Millwood),2009.28(5):p.1418-28.
8.Yip,W.C., et al.,Realignment of incentives for health-care providers in China.
Lancet,2010.375(9720):p.1120-30.
9.Availablefrom:http://www.citeman.com/7013-incentive-plans.html.
10.Davis,K.,Paying for care episodes and care coordination.NEnglJMed,2007.
356(11):p.1166-8.
11.Emanuel,E.J.andV.R.Fuchs,The perfect storm of overutilization.JAMA,2008.
299(23):p.2789-91.
12.Kluger,J.,A healthier way to pay doctors.Time,2009.174(16):p.36-40.
13.Basky,G.,Fee for service doctors dispense more antibiotics in Canada.BMJ,
1999.318(7193):p.1232.
14.Witter, S., et al.,Paying for performance to improve the delivery of health
interventions in low- and middle-income countries.CochraneDatabaseSyst
Rev,2012.2:p.CD007899.
15. deBruin, S.R., C.A. Baan, and J.N. Struijs,Pay-for-performance in disease
management: a systematic review of the literature.BMCHealthServRes,
2011.11:p.272.
16.Fleetcroft,R.,etal.,Incentive payments are not related to expected health gain
in the pay for performance scheme for UK primary care: cross-sectional
analysis.BMCHealthServRes,2012.12:p.94.
17.Voinea-Griffin,A., et al.,Pay-for-performance in dentistry: what we know. J
HealthcQual,2010.32(1):p.51-8.