Top Banner
พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
51

p4p ยาดีที่ใช้ผิด

Mar 11, 2016

Download

Documents

nongnui

 
Welcome message from author
This document is posted to help you gain knowledge. Please leave a comment to let me know what you think about it! Share it to your friends and learn new things together.
Transcript
Page 1: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน

Page 2: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน

พิมพ์ครั้งที่ 1 พฤษภาคม 2556 จำนวน 5,000 เล่ม จัดพิมพ์โดย มูลนิธิแพทย์ชนบท ร่วมกับ สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมไทย ที่เป็นธรรม (สปร.) ออกแบบ บริษัท สร้างสื่อ จำกัด พิมพ์ที่ บริษัท พิมพ์ดี จำกัด

Page 3: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

คำนำ

เรื่องพีฟอร์พีกำลังสร้างปัญหาความขัดแย้งครั้งใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข

ขณะที่คนส่วนใหญ่ในประเทศรวมทั้งในกระทรวงสาธารณสุขส่วนมากน้อยคนที่จะ

รู ้จักพีฟอร์พีอย่างแท้จริง มูลนิธิแพทย์ชนบทจึงเห็นสมควรจัดพิมพ์ข้อเขียนของ

นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒนอดีตผู้ร่วมก่อตั้งและประธานชมรมแพทย์ชนบทสอง

สมัยเมื่อราวสามสิบปีมาแล้วออกเผยแพร่ เพราะเป็นบทความที่ไม่ยาวนักสามารถ

อธิบายเรื ่องราวพีฟอร์พีได้อย่างถึงแก่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและหา

ทางออกที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประเทศชาติและประชาชนได้ต่อไป

ทั้งนี ้ ได้นำบทความเรื ่องพีฟอร์พีที ่ศาสตราจารย์ แสวง บุญเฉลิมวิภาส

อาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มารวมพิมพ์ไว้ด้วยท่านอาจารย์

แสวงเป็นนักกฎหมายผู้มีความรู้ความเข้าใจในวงการแพทย์และสาธารณสุขอย่าง

ลึกซึ้งถึงแก่น เพราะทำงานให้แก่วงการนี้มานานหลายสิบปี เป็นกรรมการอยู่

มากมายทั้งในระดับชาติและระดับสถาบันเขียนบทความและตำราเรื่องจริยธรรมการ

แพทย์ไว้มากจากจุดยืนของกัลยาณมิตรที่แท้จริงแห่งวงการสาธารณสุขตลอดมา

นอกจากนี้ยังมีบทความของทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาลอาจารย์คณะทันต-

แพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งศึกษาเรื่องพีฟอร์พีมาอย่างลุ่มลึกมารวม

พิมพ์ไว้ด้วย

หวังว่าเอกสารนี้จะทำให้ประชาชนได้ทราบความจริงที่มีผลกระทบต่อการ

ให้บริการสุขภาพของประชาชนอย่างกว้างขวางและหวังว่าผู้บริหารที่“ดึงดัน”ทำ

เรื ่องนี้อยู่ จะได้ “ตาสว่าง” ขึ ้นบ้างหยุดการกระทำที่สร้างหายนะให้แก่วงการ

สาธารณสุขไทยและหาทางแก้ไขเยียวยากันต่อไป

นายแพทย์พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์

เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท

วันวิสาขบูชา พฤษภาคม 2556

Page 4: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

สารบัญ

1.ความเป็นมา 1

2.การลุแก่อำนาจ 6

3.การใช้ยาผิด 12

4.พีฟอร์พีไม่ใช่ยาดีจริง 16

5.พีฟอร์พีมีแต่เสีย-เสีย-เสีย 20

6.นิทานเรื่องคนก่ออิฐ 24

7.บทส่งท้าย 29

ภาคผนวก

- การคิดเบี้ยเลี้ยงตามภาระงานส่งเสริมหรือทำลาย

จริยธรรมแห่งวิชาชีพ? 31

โดย แสวง บุญเฉลิมวิภาส

- ข้อเท็จจริงของPayforPerformance(P4P) 36

โดย ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล

Page 5: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ความเป็นมา

1.

พีฟอร์พี (P4P)ย่อมาจากPay forPerformanceแปลว่า

“การจ่ายค่าตอบแทนตามการปฏิบัติงาน” เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้

ในการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การ“ขยัน”หรือ“ตั้งใจทำงาน”

เพราะจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นตามความขยันหรือผลการปฏิบัติ-

งาน

ดูเผินๆพีฟอร์พีก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดีและไม่ควรจะมีใคร

ออกมาคัดค้านต่อต้าน แต่ปรากฏว่าเมื ่อกระทรวงสาธารณสุข

ประกาศใช้มาตรการนี ้ กลับเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจาก

“ชมรมแพทย์ชนบท”และขยายวงการคัดค้านออกไปเรื่อยๆจน

บานปลายทำท่าจะ“หาทางลง”กันไม่ได้ เพราะมีการปลุกกระแส

ออกมาต่อต้านการคัดค้านจนทำให้เกิดการแตกแยกอย่างค่อนข้าง

รุนแรงไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศจึงทำให้น่าสงสัยว่าพีฟอร์พีที่

Page 6: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �

ผู้บริหารจำนวนหนึ่งในกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าเป็นมาตรการที่ดีหรือ

เปรียบเทียบได้ว่าเป็น“ยาดี”นั้นดีจริงหรือไม่และถ้าเป็นยาดีจริง เป็นการนำ

มา“ใช้ผิด”หรือไม่

ในอดีตกระทรวงสาธารณสุขมีการนำพีฟอร์พีมาใช้อยู่แล้วแต่ใช้ด้วย

“สติ” และด้วย“ปัญญา”กล่าวคือ1)จะนำมาใช้อย่างรอบคอบระมัดระวัง

โดยมีการศึกษาทบทวนจนมั่นใจแล้วจึงใช้ 2)นำมาใช้อย่างจำเพาะเจาะจง

เฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี ไม่“ผลีผลาม”นำไปใช้อย่างกว้างขวางครอบจักรวาล

3)จะใช้โดยวิธีการให้สมัครใจมิใช่โดยการบังคับและ4)จะใช้เพื่อ“เสริม”

(OnTopหรือAddOn)มาตรการจูงใจที่มีอยู่เดิมไม่เลิกมาตรการเดิมโดยเฉพาะ

กรณีที่มาตรการนั้นมีผลดีอยู่แล้ว

ตัวอย่างแรกๆที ่มีการนำพีฟอร์พีมาใช้ คือ การจ่ายเงินเพิ ่มให้แก่

โรงพยาบาลชุมชนที่ทำหมันหญิงในโครงการวางแผนครอบครัวรายละ200บาท

เมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว ในช่วงที่มีการรณรงค์เร่งรัดการวางแผนครอบครัว

มาตรการดังกล่าวใช้เพื่อจูงใจให้โรงพยาบาลชุมชนพัฒนาศักยภาพให้สามารถ

ผ่าตัดทำหมันได้ พร้อมๆกับการจ่ายเงิน “จูงใจ” ก็มีโครงการฝึกให้แพทย์

โรงพยาบาลชุมชนผ่าตัดทำหมันโดยเฉพาะ“หมันแห้ง”คือทำหมันหญิง โดย

ไม่ต้องรอให้ตั้งครรภ์และคลอดเสียก่อนมีการสนับสนุนเครื่องมือทำหมันแห้งแก่

โรงพยาบาลชุมชนด้วยมาตรการนี้ได้ผลดีและไม่มี“โรคแทรกซ้อน” เพราะ

ทำอย่าง“มืออาชีพ”ถ้าจำไม่ผิดเงินสนับสนุนโครงการนี้มาจากต่างประเทศ

คือสหรัฐอเมริกาผ่านสมาคมด้านวางแผนครอบครัวจึงมีการเตรียมการและ

ติดตามอย่างครบวงจรนั่นคือ 1) เงินที่จ่ายจ่ายให้แก่โรงพยาบาล ไม่ให้แก่

บุคคล2)จำนวนเงินที่จ่ายไม่มากจนทำให้เกิดความโลภและ3)มีการป้องกัน

การเบิกเท็จ โดยมีการส่งเจ้าหน้าที่ออกไปติดตามถึงบ้านคนไข้ ว่าได้ทำหมัน

จริงหรือไม่ซึ่งมีผลดีในการติดตามผลของโครงการด้วย โครงการดังกล่าวนี้ทำ

ผ่านไประยะหนึ่งก็เลิกไปเพราะบรรลุเป้าหมายแล้ว

Page 7: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ตัวอย่างที ่สองคือ “โครงการจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงาน”

สำหรับเจ้าหน้าที ่ที ่อยู ่เวรนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ ผู ้ริเริ ่มทำ

โครงการนี้จนสำเร็จอย่างดีคือนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ วัตถุประสงค์

เพื่อจูงใจให้แพทย์และพยาบาลที่ “อยู่เวร”ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการและ

ในวันหยุดขยันในการดูแลคนไข้เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าตอบแทนที่จ่ายเป็นอัตรา

“ตายตัว” (FlatRate)ที่มีอยู่แล้ว ไม่จูงใจให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรเอาใจใส่ดูแลคนไข้

เท่าที่ควรแม้จะมี“จรรยาบรรณวิชาชีพ”กำกับนอกเหนือจากระเบียบของทาง

ราชการที่มีอยู่แล้วทำให้เกิดปัญหาการละเลยคนไข้“ฉุกเฉิน”โดยเฉพาะที่มารับ

บริการนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ แทนที่จะรีบไปตรวจรักษาหรือ

ผ่าตัดบ่อยครั้งที่ “ตามแพทย์” ไม่ได้หรือพยาบาลเวรอิดออดไม่ยอมไปช่วย

ผ่าตัดหรือลงไปช้าไม่ทันการณ์คนไข้ฉุกเฉินและ“เร่งด่วน”บางราย“ถูกดอง”

ไว้จนบางรายเกิดโรคแทรกซ้อนหรือเสียชีวิตไปคนไข้บางคนควรได้รับการผ่าตัด

ตั้งแต่คืนวันศุกร์ก็อาจได้ผ่าตัดวันจันทร์

น่าคิดว่าทำไมกรณีพีฟอร์พีที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสาธารณสุข “สั่งให้ทำ” ในเวลานี้ เหตุใดจึงถูกต่อต้านรุนแรงนัก

Page 8: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �

หนึ่งสัปดาห์มี7วันเท่ากับ168ชั่วโมงเป็น“เวลาราชการ”เพียง40

ชั่วโมงนอกเวลาและวันหยุดครอบคลุมเวลาถึง128ชั่วโมงชีวิตคนไข้ฉุกเฉิน

จำนวนมากจึง“แขวนอยู่บนเส้นด้าย”ถึงสัปดาห์ละ128ชั่วโมงนายแพทย์

สงวนได้คิดและเตรียมการเรื่องนี้ โดยได้นายแพทย์สุวัฒน์ กิตติดิลกกุลมา

ช่วยทำเรื่องนี้แบบ“เต็มเวลา” ใช้เวลาเตรียมการกันค่อนข้างยาวนานช่วงนั้น

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชซึ่งเคยปฏิบัติงานกับนายแพทย์สงวน ได้ลา

ออกจากราชการในกระทรวงสาธารณสุขไปทำงานกับพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร

โดยรับหน้าที่ไปทำโครงการเคเบิลทีวี (ไอบีซี) ในกัมพูชาทำจนเสร็จโครงการ

กลับมาประเทศไทยมาเยี่ยม“พี่ๆ น้องๆ ในกระทรวงสาธารณสุข”ตอนนั้น

โครงการของนายแพทย์สงวนเรื่องนี้ยังศึกษาและเตรียมการไม่เสร็จนายแพทย์

พรหมินทร์ยัง“แซว”ว่า“ผมไปติดตั้งไอบีซีทั่วกัมพูชาทั้งประเทศเสร็จแล้ว พี่ๆ

ยังคุยเรื่องนี้ไม่เสร็จอีกหรือ”

ตอนนั้นยังทำ“ไม่เสร็จ”และไม่พร้อมเริ่มโครงการจริงๆเพราะต้องทำ

ด้วยความรอบคอบแต่ในที่สุดก็เริ่มโครงการได้ซึ่งโครงการนี้ได้ผลดีมากเพราะ

ทำให้แพทย์พยาบาลที่อยู่เวรขยันขึ้นมากคนไข้นอกเวลาได้รับบริการรวดเร็วขึ้น

มากโรงพยาบาลจังหวัดขนาดกลางหรือขนาดย่อมจำนวนมากที่มักส่งต่อคนไข้

นอกเวลาไปโรงพยาบาล “ศูนย์” ในจังหวัดใกล้เคียงเป็นประจำเปลี่ยนเป็น

“ขยัน”ทำผ่าตัดเองเพิ่มขึ้นมากทีมพยาบาลเวรห้องผ่าตัดเมื่อถูกตามจะขึ้นมา

ช่วยผ่าตัดอย่างกระตือรือร้นผ่าเสร็จยังอยากช่วยผ่าตัดต่อ โดยมีการติดตาม

คนไข้ที่รอ“ติดตามสังเกตอาการ”อยู่ในหอผู้ป่วยถามแพทย์ว่า “รายที่เฝ้า

สังเกตอาการในตึกนั้นอาการชัดเจนเอามาทำผ่าตัดได้หรือยัง”และหลายคนได้

ค่าตอบแทนแต่ละเดือนมากกว่าเงินเดือนประจำเสียอีก

โครงการนี ้ได้ผลมากกับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั ่วไปส่วน

โรงพยาบาลชุมชนได้“อานิสงส์”จากโครงการนี้น้อยเพราะปัญหาแตกต่างกัน

Page 9: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

โครงการนี้ประสบผลสำเร็จ เพราะเป็นมาตรการสมัครใจ ไม่บังคับ

ค่าตอบแทนตามอัตราตายตัวไม่ถูกกระทบ แต่จะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ ้นถ้า

ทำงานมากจนคำนวณแล้วเกินอัตราตายตัวถ้าทำน้อยกว่าก็ได้ค่าตอบแทนไม่

น้อยกว่าเดิม

แต่โครงการนี้ก็มี“โรคแทรกซ้อน”อยู่บ้างเพราะเกิดกรณีไม่ทำผ่าตัด

“ในเวลาราชการ”ซึ่งไม่มี“ค่าตอบแทนตามปริมาณงาน”จึงรอไปทำผ่าตัด

นอกเวลาแทนจนบางรายเกิดโรคแทรกซ้อนเพราะผ่าช้าไป

น่าคิดว่าทำไมกรณีพีฟอร์พีที่ รัฐมนตรีและปลัดกระทรวง

สาธารณสุข “สั่งให้ทำ” ในเวลานี้ เหตุใดจึงถูกต่อต้านรุนแรงนัก

Page 10: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �

การลุแก่อำนาจ

2. เท่าที่ตรวจสอบความคิดเรื่องพีฟอร์พีเกิดขึ้นมานานพอ

สมควรในกระทรวงสาธารณสุข โดยเริ ่มมีการศึกษาทดลองใน

โรงพยาบาลสองแห่งคือ โรงพยาบาลพานจังหวัดเชียงรายและ

โรงพยาบาลสูงเนินจังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชน

ทั้งสองแห่งตั้งแต่ปีงบประมาณ2546แต่เนื่องจากระบบดังกล่าว

มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากจึงต้องใช้เวลาศึกษาเตรียม

การทำความเข้าใจปรับแก้อยู่นานหลังจากนั้นได้มีการขยาย

ออกไปศึกษาทดลองในอีกราว10โรงพยาบาลเช่นโรงพยาบาล

แก่งคอย จังหวัดสระบุรี (รพ.ชุมชน) โรงพยาบาลมะการักษ์

จังหวัดกาญจนบุรี (รพ.ทั ่วไปขนาดย่อม) โรงพยาบาลแม่จัน

จังหวัดเชียงราย (รพ.ชุมชน) โรงพยาบาลพนมสารคามและ

โรงพยาบาลบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทรา(รพ.ชุมชน)

Page 11: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

การลุแก่อำนาจ

ก่อนการขยาย“การทดลอง”ออกไปอีกราว10โรงพยาบาลเมื่อวันที่

22-24กันยายนพ.ศ.2551ได้มีการประชุม“สรุปบทเรียน”เรื่องนี้ที่โรงพยาบาล

พานจังหวัดเชียงรายของ“คณะวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการจ่ายค่าตอบแทน

ตามปริมาณงาน”มีการสรุปผลกระทบด้านบวกและด้านลบของโครงการด้าน

บวกที่สำคัญคือ1) เจ้าหน้าที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเพิ่มขึ้น 2) เพิ่ม

ขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน 3)มีแรงจูงใจในการสร้างงานและนวัตกรรม

ใหม่ๆ4)ผลผลิตของโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น และ5)พฤติกรรมการให้บริการ

ของผู้ปฏิบัติงานดีขึ้น

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านผลกระทบด้านลบที่พบคือ1)มีการปฏิเสธ

งานที่ไม่มีแต้มหรือมีแต้มน้อย 2)มีการไม่ยอมกระจายงานเพื่อให้เกิดการ

พัฒนาคุณภาพของการทำงาน3) เกิดทัศนคติเชิงลบในกลุ่มที่ไม่เข้าใจนโยบาย

ไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับการสื่อสาร/ให้ข้อมูล 4)ส่วนใหญ่มีความรู้สึกไม่เป็น

ธรรมในการกำหนดแต้มระหว่างแผนก/ลักษณะงาน

ข้อสำคัญคือ โครงการนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า วิธีการนี้

จะส่งผลดีต่อบริการที่ประชาชนจะได้รับหรือไม่ ข้อร้องเรียนจะลดลงหรือ

ไม่ และอัตราความผิดพลาดทางการรักษาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร รวม

ทั้งมีผลกระทบต่อการตัดสินใจโยกย้ายของแพทย์ และบุคลากรอื่นๆ

หรือไม่อย่างไร

Page 12: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด �

ในการประชุมสรุปบทเรียนครั้งนั้นพบปัญหาอุปสรรคมากมายและมี

ข้อเสนอแนะ“เพื่อการพัฒนาระบบ”อีกหลายข้อข้อที่เป็นหัวใจสำคัญก็คือ

โครงการที่ทดลองนำร่องนี้ทำโดยไม่กระทบกับระบบค่าตอบแทนที่มีอยู่

เดิม ฉะนั้นคณะผู้วิจัยจึงสรุปบทเรียนข้อแรกจากหลายข้อว่า นโยบาย

จ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณนี้ “ไม่ควรกระทบค่าตอบแทนหรือผล

ประโยชน์เดิมที่เคยได้รับ”

จาก“บทเรียน”ดังกล่าวทำให้ต้องมีการขยายการศึกษาออกไปยังโรง

พยาบาลอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งดังกล่าวแล้วซึ่งปรากฏว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่

ที่ทำการศึกษาทดลองใน“ระยะที่สอง”ยังไม่มีการดำเนินการเต็มรูปแบบเพราะ

พบปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆมากมาย

จากการ “ผลีผลาม” และ “ลุ แก่อำนาจ” ของกระทรวงสาธารณสุข บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวาง ควรต้อง “รีบถอย” ไม่ควรดึงดันให้เกิดความเสียหายไปกว่านี้

Page 13: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลสระบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่

มีระบบงานซับซ้อนมากอดีตผู ้อำนวยการซึ ่งเพิ ่งเกษียณอายุไปไม่นานคือ

นายแพทย์เทียมอังสาชนแพทย์และผู้บริหารที่ดีที ่สุดคนหนึ่งของกระทรวง

สาธารณสุขสรุปว่า ระบบนี้ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลสระบุรี และถ้าจะใช้

ก็จะเลือกใช้กับบางระบบเท่านั้น ไม่ใช้กับทุกระบบของโรงพยาบาล เพราะจะ

เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

อีกตัวอย่างหนึ่งคือที ่โรงพยาบาล 50พรรษามหาวชิราลงกรณ์ที ่

จังหวัดอุบลราชธานีผู้อำนวยการโรงพยาบาลคือนายแพทย์พรเจริญ เจียมบุญ-

ศรี ได้ออกมาพูดกับสาธารณะอย่างชัดเจนว่า ระบบนี้มีความซับซ้อนมากมีทั้ง

ข้อดีข้อเสียและต้องพัฒนาอีกมากโดยโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศยังมีความ

รู้ความเข้าใจกับระบบนี้น้อยมาก

Page 14: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0

ในขณะที่ระบบพีฟอร์พียังต้องการการพัฒนาและการเตรียมการอีกมาก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุขกลับเร่งรัด

ประกาศใช้ระบบนี้ในลักษณะบังคับใช้ทั่วประเทศโดยกระทบโดยตรงกับระบบ

ค่าตอบแทนเดิมของโรงพยาบาลชุมชนคือระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายซึ่งเป็นการ

ผิดหลักการอย่างชัดแจ้งเมื่อชมรมแพทย์ชนบทเริ่มออกมาคัดค้านก็พยายามหา

“หลังอิง” โดยอ้างว่าได้มีการศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว โดยสำนักงานพัฒนา

นโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ(InternationalHealthPolicyProgramหรือIHPP)

แต่ก็ต้อง“หน้าแตก” เมื่อ IHPPออกมาเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยสรุปสาระ

สำคัญโต้แย้งการอ้างอย่าง“ตีขลุม”ของกระทรวงสาธารณสุขคือ1) รูปแบบ

การจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงานน่าจะใช้เฉพาะในการเพิ่มอุปสงค์และ

อุปทานของบริการบางอย่างที่ประชาชนยังเข้าไม่ถึงและยังไม่เกิดอุปสงค์ โดย

เฉพาะการป้องกันปฐมภูมิของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นบริการที่มีความสำคัญ

และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สูง และไม่ควรใช้ระบบนี้เป็นการทั่วไปใน

บริการสุขภาพทั้งหมดทั้งนี้เมื่ออุปสงค์และอุปทานเกิดขึ้นเป็นปกติแล้วระบบนี้

ก็ควรเลิกไป เช่นเดียวกับที่กระทรวงสาธารณสุขเคยประสบความสำเร็จในการ

Page 15: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

เร่งรัดบริการวางแผนครอบครัวมาแล้ว 2)การศึกษาพีฟอร์พีที่ผ่านมาอยู่ใน

บริบทของการจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะเพิ่มเติม (on top)หากจะจ่ายพีฟอร์พี

ทดแทนการจ่ายค่าตอบแทนอื่นๆก็จะต้องมีการศึกษาผลกระทบและความพึง

พอใจของผู้ปฏิบัติภายใต้บริบทใหม่เสียก่อน3)พีฟอร์พีมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่

ต้องมีการพัฒนารูปแบบให้สอดคล้องกับสถานพยาบาลแต่ละระดับ4) โรง

พยาบาลชุมชนมีความหลากหลายจะต้องมีการพัฒนารูปแบบโดยการวิจัยเชิง

ปฏิบัติการให้ได้รูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละรูปแบบ

ที่สำคัญโรงพยาบาลที่“นำร่อง”ศึกษาเรื่องนี้ไม่น้อยกว่า5แห่งได้รวม

ตัวกันไปคัดค้านและเตือนปลัดกระทรวงว่ายังไม่พร้อม ไม่ควรประกาศใช้ ได้แก่

รพ.แก่งคอยรพ.บางคล้ารพ.พนมสารคามรพ.สระบุรีและรพ.มะการักษ์แต่

ปลัดกระทรวงก็ไม่ฟังจนเกิดเรื่อง

จากการ “ผลีผลาม” และ “ลุแก่อำนาจ” ของกระทรวงสาธารณสุข

บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเกิดการ

ต่อต้านอย่างกว้างขวาง ควรต้อง “รีบถอย” ไม่ควรดึงดันให้เกิดความ

เสียหายไปกว่านี ้

Page 16: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

การใช้ยาผิด

3. ในเอกสารเรื ่องพีฟอร์พีของกระทรวงสาธารณสุขที่ส่ง

ให้หน่วยงานต่างๆ เมื่อเร็วๆนี้ รวมทั้งคู่มือเรื่องนี้ ได้กล่าวถึง

“หลักการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับบุคลากร

สาธารณสุข”สรุปว่าค่าตอบแทนประกอบด้วย3ส่วนได้แก่1)

เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งซึ่งจ่ายตามประสบการณ์การ

ทำงานและความเชี ่ยวชาญของกำลังคน 2) ค่าตอบแทนตาม

พื้นที่พิเศษและวิชาชีพขาดแคลนและจำเป็นจ่ายเพื่อเพิ่มแรง

จูงใจให้มีกำลังคนในพื้นที่พิเศษและอยู่ในระบบราชการและ3)

พีฟอร์พีจ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพขวัญและกำลังใจ

เอกสารทั้งสองฉบับแยกค่าตอบแทน3ส่วนนี้ออกจาก

กันอย่างชัดเจนโดยเขียนเป็นรูปสามเหลี่ยมเงินเดือนอยู่ตรงฐาน

ค่าตอบแทนพื้นที ่พิเศษและวิชาชีพขาดแคลนและจำเป็นอยู ่

ตรงกลางและพีฟอร์พีอยู่ข้างบน เป็นภาพที่ชัดเจนว่าการจ่าย

Page 17: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

การใช้ยาผิด

พีฟอร์พีเป็นการจ่ายเพิ่มเติม (on top)มิใช่เข้าไปแทนส่วนที่สองหรือ“ปะปน”

กับส่วนที่สอง

แต่การประกาศใช้พีฟอร์พีของกระทรวงสาธารณสุขกลับนำไปปะปนกับ

ส่วนที่สองซึ่งกลุ่มที่จะถูกกระทบมากที่สุดคือกลุ่มโรงพยาบาลชุมชนที่ใช้ระบบ

จูงใจโดย“เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย”เป็นกลไกสำคัญในส่วนนี้

น่าเชื่อว่าการประกาศใช้พีฟอร์พีในลักษณะ“บังคับ”ครั้งนี้ เกิดจาก

“อคติ” กับอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่เกิดจากการผลักดันของชมรมแพทย์

ชนบทเมื่อพ.ศ.2551ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับอัตราเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย

เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจนทำให้เกิดความไม่พอใจจากบางกลุ่มในโรงพยาบาลศูนย์

โรงพยาบาลทั่วไปทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีมาเป็นระยะซึ่งบางกรณี

เป็นลักษณะ“ใส่ไข่”กล่าวหาโรงพยาบาลชุมชนแบบ“เหมารวม”ทั้งๆที่

แพทย์ที่จะได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในอัตราสูงจริงๆมีเพียงจำนวนน้อยซึ่ง

อัตราที่ได้รับก็ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนจำนวนมาก

อันที่จริง วัตถุประสงค์สำคัญของการผลักดันเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเมื่อ

พ.ศ.2551ก็เพื่อเพิ่มจำนวนแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนซึ่งขาดแคลนมาตลอด

อัตราเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเดิมยังไม่จูงใจพอจึงจำเป็นต้องใช้“ยาแรง”เพื่อให้เกิด

ผลซึ่งก็ได้ผลจริงๆ เพราะหลังจากใช้“ยาแรง”ขนานนี้ก็ทำให้จำนวนแพทย์ใน

โรงพยาบาลชุมชนเพิ่มขึ้นจาก2,767คนในเดือนมกราคมปี2551 เป็น4,056

คนในเดือนมกราคมปี2555

อาจารย์ที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ท่านหนึ่งเคยเล่าว่าเรียนจบแพทย์

ที่ญี่ปุ่น จบแล้วสมัครใจไปทำงานในเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง มีประชากรราว5

ร้อยคนเท่านั้น เครื่องไม้เครื่องมือและหยูกยามีจำกัดถ้าคนไข้หนักต้องเรียก

เฮลิคอปเตอร์ไปรับงานก็ไม่ลำบากแต่ต้อง“เสียโอกาส”ต่างๆไปมากโดย

เฉพาะเรื่องการติดตามพัฒนาความรู้ความสามารถในวิชาชีพ“แต่เขาให้ค่า

ตอบแทนดี เงินเดือน 4 เท่าของแพทย์ในโตเกียว ที่ใช้เงินก็ไม่ใคร่มี ทำงานปี

เดียว มีทุนไปเรียนจนจบปริญญาเอกได้เลย”

Page 18: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ระบบจูงใจบุคลากรสาขาขาดแคลนให้อยู่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล

ชุมชนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและจำเป็นต้องเป็นมาตรการท่ี “แรง”พอจึงจะ

สามารถต้านกระแสแรงดึงดูดจากโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองใหญ่และเมืองหลวง

ได้แม้แต่ในเมืองใหญ่และเมืองหลวงก็ยังต้องมีมาตรการจูงใจอย่างเหมาะสม

มิให้เอกชนดูดเอาไปดังที่เกิดขึ้นแล้วแม้แต่กับโรงเรียนแพทย์ฉะนั้นก่อนจะเลิก

หรือเปลี่ยนแปลงระบบเบี้ยเลี ้ยงเหมาจ่าย จึงต้องศึกษาอย่างรอบคอบและ

ดำเนินการอย่างละมุนละม่อมมิใช่“หักดิบ”เอาอย่างที่กระทำไปแล้ว

พีฟอร์พีเป็นเรื่อง“คาบลูกคาบดอก”และมีทั้งความ“ยาก” และ“ยุ่ง

ยาก”รวมทั้งมีข้อพึงระวังมากมายไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอามา“ปะปน”กับเรื่อง

เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเพราะเป็นคนละส่วนกันจุดมุ่งหมายคนละเรื่องกนั

การประกาศเรื่องพีฟอร์ฟีครั้งนี้ นอกจากจะกระทำอย่าง“ผลีผลาม”

แล้วยังน่าจะเป็นการ“ฉวยโอกาส” “แก้แค้น” ปรับลดเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายที่มี

คนส่วนหนึ่ง“ไม่ชอบ”จึงเข้าลักษณะเป็นการ“ใช้ยาผิด”อย่างชัดแจ้ง

การ“ผลีผลาม”ประกาศใช้กับโรงพยาบาลทั้งประเทศและให้ใช้กับ

ทุกภาคส่วนในโรงพยาบาล ในขณะที่ผลการวิจัยแนะให้เลือกทำอย่างเฉพาะ

เจาะจงในบางเรื่องที่สำคัญและคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และจะต้องมีการศึกษา

พัฒนารูปแบบก่อนย่อมเป็นการทำไปอย่าง “ขาดสติ” และการไปปรับลด

เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เป็นการ“ทำเกิน”จากบริบทของงานศึกษาวิจัย โดยไม่มี

การศึกษาผลกระทบและความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน จึงเป็นการ “ลุแก่

อำนาจ”โดยแท้

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า โรงพยาบาลทุกระดับมีบุคลากรที่ต้องหาวิธี

“จูงใจ”ให้“ขยัน”เพิ่มขึ้นแต่สำหรับในโรงพยาบาลชุมชนให้ดูข้อมูลการศึกษา

ภาระงานของแพทย์เปรียบเทียบจะเห็นได้ชัดข้อมูลในปี 2552 (จากรายงาน

“การสาธารณสุขไทย 2551-53”) เทียบภาระงานโดยคิดภาระงานแพทย์ใน

โรงพยาบาลเอกชน เท่ากับ1.0พบว่าแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนมีภาระงาน

Page 19: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

มากที่สุดคือ1.5ในโรงพยาบาลทั่วไปเท่ากับ1.1โรงพยาบาลศูนย์0.7ขณะที่

ภาระงานของแพทย์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเพียง 0.2 เท่านั้น แพทย์ใน

โรงพยาบาลเอกชนต้องทำงานให้“นายจ้าง” เต็มที่อยู่แล้วแพทย์โรงพยาบาล

ชุมชนยังมีภาระงานมากกว่าแพทย์โรงพยาบาลเอกชนถึง1.5เท่า

จึงไม่แปลกใช่ไหมที่มีเสียงประท้วงรุนแรงจากแพทย์ในชนบทเพราะ

ภาระงานก็หนักขนาดนี้อยู่แล้วยังจะเอาพีฟอร์พีไป“รีด”งานเพิ่มขึ้นเท่านั้นยัง

ไม่พอยังทำนอกตำราไปบังคับขืนใจให้ทำเรื่องที่ยังคลุมเครือผลดีไม่ชัดแต่ผล

เสียชัดแล้วยังไปเปลี่ยนแปลง“ยาแรง”ที่ได้ผลอีกด้วย

ธรรมดาของยาแม้เป็น“ยาดี”ก็มี“ข้อบ่งใช้”อย่างจำกัดและมี“ข้อ

ควรระวังในการใช้”กับ“ข้อห้ามใช้”รวมทั้งต้องมีขนาดยาและวิธีการใช้ยา

ให้ถูกโรคถูกขนาดถูกวิธี ถูกเวลา ไม่มีหมอคนไหน “บังคับ” คนไข้จำนวน

มากมายให้กินยาที่ตนเชื่อว่าเป็น“ยาดี”อย่างที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวง

สาธารณสุขดึงดันทำอยู่ในเวลานี้

ประชาชนคนไทยจะต้องทนกับนักการเมืองและข้าราชการ

ประเภทนี้ไปอีกนานแค่ไหน

Page 20: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

พีฟอร์พีไม่ใช่ยาดีจริง

4. ระบบพีฟอร์พี เป็นระบบของการเร่งรัดการทำงานใน

ระบบทุนนิยม แม้จะเป็นเครื ่องมือที่ใช้ได้ผลในหลายกรณี แต่

การนำมาใช้จะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังโดยมีการศึกษาให้

เข้าใจถ่องแท้ มีการเตรียมการอย่างละเอียดรอบคอบและข้อ

สำคัญจะต้องไม่นำมาใช้โดย “โทสจริต”หรือ “ลุแก่อำนาจ”

หรือโดย“โมหจริต”คือ“ความหลง”หรือการขาดความรู้ความ

เข้าใจอย่างเพียงพอ

นักวิชาการบางท่านถึงขั้นปฏิเสธระบบพีฟอร์พีในกรณีที่

จะนำมาใช้กับบุคลากรที่เป็น “วิชาชีพ” (Profession)ดังบทความ

ของศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส อดีตคณบดี คณะ

นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมาทำงานมากมายกับ

วงการแพทย์ และได้เขียนทั ้งบทความและตำราที ่ทรงคุณค่า

จำนวนมากเกี่ยวกับจริยธรรมของแพทย์(ดูภาคผนวก)

Page 21: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

พีฟอร์พีไม่ใช่ยาดีจริง

นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ดุษฎีบัณฑิตทางมานุษยวิทยา-

การแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งศึกษาเรื่องพีฟอร์พีมาไม่น้อย เล่าถึง

ตัวอย่างปัญหาของพีฟอร์พีที่เกิดขึ้นในสหรัฐ กรณีของจิตแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย

จิตเวช โดยวิธีการ“จิตวิเคราะห์” (Psycho-analysis) วิธีการรักษาดังกล่าว

ต้องการการพูดคุยเพื่อหา“ปม”อันเป็นต้นเหตุของโรคซึ่งต้องมีการนัดคนไข้

บ่อยครั้งต่อมาถูกตรวจสอบว่าทำไมต้องนัดคนไข้บ่อยเช่นนั้นเป็นการสิ้นเปลือง

ค่าใช้จ่าย“โดยใช่เหตุ”ผลที่เกิดขึ้นคือวิธีการรักษาโรคดังกล่าวถูก“กดดัน”

ให้เปลี่ยนไปใช้ยาเป็นหลักทำให้คนไข้ต้องพึ่งยาและหมดโอกาสในการขจัด

“ปม”อันเป็นต้นเหตุของปัญหาไปและวิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ได้สูญไป

จากสหรัฐแล้ว

ในเอกสารเผยแพร่ของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่าง

ประเทศ ได้กล่าวถึงการศึกษาเรื ่องพีฟอร์พีขององค์การอนามัยโลกที่ทำใน

ประเทศเอสโทเนีย เมื่อพ.ศ.2551พบว่าการใช้ระบบพีฟอร์พีกับระบบบริการ

สุขภาพอาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนมุ่งไปให้บริการเฉพาะกิจกรรมที่“ได้แต้ม”

โดยละเลย“การรักษาให้ผู้ป่วยดีขึ้น”ซึ่งเป็นหัวใจของระบบสุขภาพ

การศึกษาของบรูอิน (Bruin)และคณะตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของ

อังกฤษ (BritishMedical Journal) เมื่อปี 2554ศึกษาในสหรัฐฯ เยอรมนีและ

ออสเตรเลียพบว่าแม้พีฟอร์พีจะทำให้มี “ปริมาณงาน”มากขึ้นแต่ไม่มีหลัก

ฐานทางวิชาการอ้างอิงได้ว่าจะทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการสุขภาพดีขึ้นโดยเฉพาะ

ในด้านคุณภาพการรักษาตรงกันข้ามอาจเกิดผลทางลบโดยมีโอกาสมากที่จะ

มุ่งเพิ่มปริมาณงานเพื่อ“เพิ่มแต้ม”ขณะเดียวกันก็ลดคุณภาพการรกัษาลง

ต้องไม่ลืมว่าแพทย์โดยทั่วไปเป็นปุถุชนและสามารถถูกครอบงำได้ด้วย

อิทธิพลผลประโยชน์ดังปรากฏว่าพฤติกรรมการให้บริการของแพทย์จะผันแปร

ตาม“ระบบ”ที่มีผลต่อ“การจูงใจ” (motivation)ในการตรวจรักษาของแพทย์

ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนทั ่วโลก รวมทั ้งในประเทศไทยที ่พบว่าระบบที ่มี

การจ่ายเงินให้แก่โรงพยาบาลแตกต่างกันทำให้พฤติกรรมการให้บริการของ

Page 22: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

โรงพยาบาลแตกต่างกันอย่างชัดเจนกล่าวคือระบบการจ่ายตามการให้บริการ

(Fee-For-Service) เช่นที่ใช้กับระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการจะทำให้

โรงพยาบาลให้บริการ“มากเกินความจำเป็น”เพื่อให้ได้รายได้มากขึ้นผลคือมี

การสั่งการตรวจวินิจฉัยและการตรวจรักษาที่บ่อยครั้งพบว่ามากเกินจำเป็นจน

สวัสดิการข้าราชการใช้เงินแพงกว่าระบบบัตรทองกว่า5 เท่าขณะที่ระบบการ

จ่ายแบบเหมาจ่ายรายหัว (Capitation) จะกลับทำให้ให้บริการน้อยเกินสมควร

ดังที่เกิดกับกรณีของประกันสังคมและบัตรทอง

ปัจจุบัน แม้ในโรงพยาบาลของรัฐก็ให้บริการแก่คนไข้บัตรทองและ

ประกันสังคม ด้วย “มาตรฐาน” ที ่แตกต่างจากบริการที ่ให้แก่สวัสดิการ

ข้าราชการดังกรณียากลูโคซามีนที่จ่ายแก่คนไข้เข่าเสื่อมพบว่ามีการจ่ายแก่

คนไข้ในสวัสดิการข้าราชการมากทั้งๆที่งานวิจัยพบว่าเกือบไม่มีประสิทธิผลใน

การรักษาโรคเลย

อย่ายืนยันหรือปฏิเสธเลยว่า กระทรวงสาธารณสุขจะแก้ปัญหา “หมอล่าแต้ม” ได้ เพราะแม้แต่ประเทศที่ “กฎหมายเป็นใหญ่” และมีรัฐบาลที่ต้องฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนอย่างสหรัฐ ก็ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้

Page 23: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

พฤติกรรมดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นแม้แต่ในโรงพยาบาลของรัฐ เพราะเหตุ

สำคัญสองประการคือ1) โรงพยาบาลของรัฐมีระบบเงินบำรุงที่โรงพยาบาล

สามารถนำไปใช้ได้ค่อนข้างคล่องตัวจึงมีแรงจูงใจที่จะหารายได้เข้าโรงพยาบาล

ให้มาก2)มีระบบการให้“สินบนปนน้ำใจ”จากบริษัทยาและบริษัทเครื่องตรวจ

วินิจฉัยทางการแพทย์เพื่อให้มีการสั่งจ่ายยาและการตรวจวินิจฉัยให้มากเข้าไว้

พฤติกรรมดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชนมากกว่ามาก เพราะ

ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนจะสร้างระบบบีบให้แพทย์ต้องสั่งตรวจวินิจฉัยและ

รักษาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รวมทั้งให้ “รับคนไข้ไว้ในโรงพยาบาล”แม้ไม่

จำเป็น เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดผลคือคนไข้ต้องจ่ายมากเกินจำเป็นมากมายบาง

คนอาจถึงขั้น “สิ้นเนื้อประดาตัว”ดังตัวอย่างเล็กๆคือนักศึกษาคนหนึ่งเป็น

ลูกของเลขาธิการหน่วยงานแห่งหนึ่ง ป่วยด้วยโรคท้องเสีย เข้าไปรักษาใน

โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งคืนเดียวโดนชาร์จไป8หมื่นกว่าบาท

ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนเรื่องหนึ่งคืออัตราการผ่าตัดคลอดที่สูงผิดปกติ

ในโรงพยาบาลเอกชน โดยพบว่าบางแห่งสูงกว่าอัตราการผ่าตัดคลอดใน

โรงพยาบาลของรัฐถึง3-4เท่า

ปัญหาเหล่านี ้ยากแก่การแก้ไข เพราะระบบตรวจสอบของรัฐคือ

กระทรวงสาธารณสุขและองค์กรวิชาชีพ เช่นแพทยสภาถูกครอบงำโดยธุรกิจ

แพทย์เอกชนจนศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตั ้งชื ่อใหม่ให้แพทยสภาว่า

“สหภาพแพทย์เอกชน”

ฉะนั้น สิ่งที่พึงกระทำคือ ระมัดระวังอย่าสร้างระบบที่ส่งเสริมหรือ

ผลักดันให้บุคลากรในวิชาชีพตกอยู่ใน“บ่วงบาป”เช่นนั้น

อย่ายืนยันหรือปฏิเสธเลยว่า กระทรวงสาธารณสุขจะแก้ปัญหา

“หมอล่าแต้ม” ได้ เพราะแม้แต่ประเทศที่ “กฎหมายเป็นใหญ่” และมี

รัฐบาลที่ต้องฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนอย่างสหรัฐฯ ก็ยังแก้ปัญหา

เหล่านี้ไม่ได ้

Page 24: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0

พีฟอร์พี มีแต่ เสีย-เสีย-เสีย

5. โดยส่วนตัวผู้เขียนยังเชื่อว่านายแพทย์ณรงค์ สหเมธา-

พัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้มีเจตนาดีที่จะทำหน้าที่ของ

ตนให้ดีในเรื่องพีฟอร์พี แม้จะมี“มิจฉาทิฐิ”อยู่มากก็ตาม โดย

ที่นายแพทย์ณรงค์ยังมี“อายุราชการ”อีกสองปีเศษจึงขอเล่า

“แบบอย่าง”ของผู้มีสติปัญญาในการแก้ปัญหาบ้านเมืองไว้ให้เป็น

อุทาหรณ์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2517 ในรัฐบาลของ

ศาสตราจารย์สัญญาธรรมศักดิ์ซึ่งมีรัฐมนตรีคลังคืออาจารย์บุญ-

มา วงษ์สวรรค์ ตอนนั้นเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน เพราะเกิดกลุ่ม

ประเทศโอเปคซึ่งสามารถรวมหัวกันกำหนดราคาน้ำมันได้สำเร็จ

ราคาน้ำมันจึงแพงขึ้นแบบก้าวกระโดดเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ไปทั่วโลกประเทศไทยกำลังอยู่ในยุค“ประชาธิปไตยเบ่งบาน”

หลังเหตุการณ์14ตุลาคม2516 เกิดการประท้วงนัดหยุดงานไปทั่ว

Page 25: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

และมีการชุมนุมครั้งใหญ่ของผู้ใช้แรงงานที่สนามหลวงเพื่อเรียกร้องให้กำหนด

ค่าแรงขั้นต่ำวันละ25บาทขณะที่ลูกจ้างตำแหน่ง“ผู้ช่วยเหลือคนไข้”ซึ่งแต่ง

ชุดเหลืองในโรงพยาบาลจังหวัดเวลานั้นได้ค่าจ้างเพียงเดือนละ200บาท

สมัยนั้นข้าราชการได้รับอภิสิทธิ์คือได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีซึ่งเป็น

ความไม่เป็นธรรมท่านอาจารย์บุญมาต้องการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมคือ

จะให้ข้าราชการต้องเสียภาษีเงินได้เหมือนประชาชนทั่วไปงานนี้เป็นงานยาก

เพราะข้าราชการเป็น “กลุ่มพลัง” (Pressure Group) ที ่เข้มแข็งที ่สุด การ

เปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. 2475ส่วนหนึ่งเกิดขึ ้นก็เพราะมีการ“ดุล”

ข้าราชการออกจึงเป็นเรื่องยากที่จะไปตัดอภิสิทธิ์ที่มีมาช้านานของข้าราชการลง

ได้แต่อาจารย์บุญมาก็ทำสำเร็จโดยไม่มีข้าราชการคนใดต่อต้านเลย

“เคล็ดลับ”หรือวิธีการสำคัญของอาจารย์บุญมาก็คือทำบัญชีเงิน

เดือนข้าราชการใหม่ทั้งหมดเพิ่มเงินเดือนให้แก่ทุกคนพร้อมกับให้หักภาษีณที่

จ่ายแต่หักแล้วทุกคนก็ยังได้เงินเดือนเพิ่มกันทั่วหน้า

งานนี้สำเร็จเพราะเรื่องที่ให้ข้าราชการต้องเสียภาษีเหมือนประชาชน

ทั่วไปเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมยากที่ใครจะโต้แย้งได้แต่ใช้จังหวะเริ่มเก็บภาษี

พร้อมกับการขึ้นเงินเดือนให้มากกว่าภาษีที่จะเสียในขณะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ของประเทศจึงไม่มีใครรู้สึกว่าเป็น“ผู้สูญเสีย” มีแต่ได้กับได้

แต่กรณีพีฟอร์พีไม่ใช่เช่นนั้น

นายแพทย์เทียม อังสาชนอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรีหนึ่ง

ในโรงพยาบาลนำร่องพีฟอร์พีบอกว่าตอนที่รับทำเรื่องนี้ ถือหลักสำคัญคือ

“ทั้งสามฝ่ายต้องได้ประโยชน์” (win-win-win)คือ1)คนไข้ต้องได้ประโยชน์2)

เจ้าหน้าที่ต้องได้ประโยชน์และ3)โรงพยาบาลต้องได้ประโยชน์

ถ้าทำอย่างกรณีจ่ายเงินพิเศษให้โรงพยาบาลกรณีทำหมันรายละ200

บาทหรือกรณีจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงานในขณะอยู่เวรนอกเวลาราชการ

และในวันหยุดราชการแม้มีปัญหาบ้างก็แก้ไขได้

Page 26: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

เรื่องพีฟอร์พีนี้ถ้าจะทำจะต้องทำอย่างถูกหลักการถูกจังหวะและถูก

วิธีนั่นคือ1) เลือกทำเฉพาะเรื่องที่แน่ใจว่าได้ประโยชน์ตามที่สำนักงานพัฒนา

นโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)แนะนำไว้ 2) ใช้วิธีจูงใจให้ทำ ไม่ใช่

บังคับ3) ให้ทำเพิ่มเติมจากระบบเดิม (on top) ไม่ฉวยโอกาสไปล้มเลิกระบบ

จูงใจที่ได้ผลที่มีอยู่แล้ว 4) จะต้องเตรียมการให้ละเอียดรอบคอบมากกว่านี้

เพราะการทำงานกับหน่วยงานทั่วประเทศอย่างนี้ทุกอย่างต้อง“เนียน”อย่าลืม

ภาษิตการบริหารที่ว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด” (Devil is in detail) ถ้าไม่

พิจารณารายละเอียดให้ดีก็จะเจอ“ปีศาจ”คือปัญหามากมาย

จำได้ไหมสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เคยใช้ระบบ

พีฟอร์พีอย่าง“มืออาชีพ”และได้ผลดีมาแล้วเช่นระบบจูงใจให้ผ่าตัดต้อกระจก

ระบบจูงใจให้ผ่าตัดวางสายล้างไตทางหน้าท้องระบบจูงใจให้ผ่าตัดหัวใจและ

Page 27: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

ระบบจูงใจให้ผ่าตัดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ฯลฯระบบเหล่านี้ดีต่อคนไข้

อย่างมากบุคลากรก็พอใจแต่กระทรวงสาธารณสุขยัง“ขัดขวาง”อ้างว่าทำให้

“เสียการบังคับบัญชา”บุคลากรให้ความสำคัญกับงานที่มี“สิ่งจูงใจ”จาก

ภายนอกขนาดคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีมติให้ทำได้ โดยใน

คณะกรรมการดังกล่าวมีรัฐมนตรีสาธารณสุขเป็นประธานและปลัดกระทรวง

สาธารณสุขเป็นกรรมการอดีตปลัดกระทรวงที่ร่วมประชุมครั้งนั้นยังไปหาวิธีการ

ขัดขวางเพียงเพราะรู ้สึกว่า “กระทบต่ออำนาจ”ของผู้บริหารของกระทรวง

เท่านั้นแม้พบว่าประชาชนได้ประโยชน์อย่างมากก็ยัง“ใจดำ”และ“หาเรื่อง”

ขัดขวางจนได้

พีฟอร์พีที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสาธารณสุขดึงดันทำไปครั้งนี้ผิด

หลักการอย่างร้ายแรงทั้งสามฝ่ายนอกจากไม่ได้ประโยชน์ยังเสียประโยชน์ ข้อ

สำคัญระบบบริการสาธารณสุขยังถูกกระทบอย่างรุนแรงเพราะเมื่อแพทย์ชนบท

ออกมาประท้วง แทนที่จะดับไฟที่ต้นเหตุ กลับปลุกระดมหลายฝ่ายออกมา

“ชน” ทำให้เกิด“สามัคคีเภท”ครั้งใหญ่ในระบบสาธารณสุขซึ่งผลที่สุดย่อม

กระทบต่อประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จึงไม่แปลกที ่บรรดา “วิทยากร” ที ่กระทรวงสาธารณสุขพยายาม

“ดันหลัง” ให้ออกมาเดินสาย“จูงใจ” ให้ทำพีฟอร์พี เช่นจากรพ.พานและ

รพ.สูงเนินต่างขอถอนตัวและออกไปเป็นฝ่ายคัดค้านเรื่องนี้แล้ว

มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีโรงเรียนแพทย์อยู่ด้วยมีการ“นำร่อง”ทำ

พีฟอร์พีแล้วเกิดปัญหามากมายอธิการบดีซึ่งก็เป็นแพทย์กล่าวถึงพีฟอร์พีว่า

ไม่ใช่แค่“ใช้ยาผิด”แต่มันคือ“ยาพิษ”

ปัญหาเรื่องนี้ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุดคือ รัฐมนตรีสาธารณสุข

ก็ต้องติดตามดูว่า คุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะ “อุ้ม” คน

ประเภทนี้ไว้ใช้อีกนานแค่ไหน

Page 28: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

นิทานเรื่องคนก่ออิฐ

6.

นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้เล่านิทานเรื่องคน

ก่ออิฐเป็นเรื่องของคนก่ออิฐสามคนกำลังก่ออิฐอยู่ใกล้ๆกันมีคน

มาถามว่ากำลังทำอะไรคนแรกตอบว่า“กำลังก่ออิฐอยู่นี่ไงไม่เห็น

เรอะ”คนที่สองตอบว่า“กำลังก่อกำแพง”ส่วนคนที่สามตอบว่า

“กำลังสร้างวัด”

คนก่ออิฐคนแรกมองไม่เห็นความเชื่อมโยงของงานที่ทำ

ว่านำไปสู่อะไรคนที่สองดีขึ้นมาหน่อยที่เห็นว่าสิ่งที่ทำจะก่อเป็น

กำแพงแต่คนที่สามเห็นคุณค่าของงานที่ทำว่ากำลังสร้างวัดเพื่อสืบ

พระศาสนา

แท้จริงแล้วมนุษย์มีมิติด้านจิตใจ และปัญญาที่ต้องการ

ทำให้ชีวิตมีคุณค่า งานที ่ทำหากเกิดผลเพียง “มูลค่า” คือค่า

ตอบแทนเป็นตัวเงินเท่านั้นจะทำให้ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ลงไป

Page 29: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

นิทานเรื่องคนก่ออิฐ

เรื่อยๆผู้ที่สะท้อน“ความเจ็บปวด”ในเรื่องนี้ออกมาได้อย่างมีศิลปะและสร้าง

ความสะเทือนใจให้แก่คนทั้งโลกคือชาร์ลีแชปลินในภาพยนตร์เรื่องโมเดิร์นไทม์

(ModernTime)ที่สมัยนั้นกำลังเข้าสู่ยุคพัฒนาอุตสาหกรรมหลักการแยกงาน

เป็นชิ้นๆซอยออกเป็นส่วนๆให้คนแต่ละคนทำเฉพาะส่วนย่อยๆเท่านั้นซึ่งจะ

ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างมากมายมหาศาลอย่างการผลิตรถยนต์ที่คน

งานแต่ละคนทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวในสายพานการผลิต เช่นขันน็อตเพียงตัว

เดียวที่ส่วนหนึ่งของรถคุณค่าที่แท้จริงของงานที่ทำจึงหมดไปและคนกลายเป็น

ส่วนหนึ่งของเครื่องจักรซึ่งภาพยนตร์ของชาร์ลีแชปลินสร้างให้ตัวละครคือ

ชาร์ลีแชปลิน เองทำหน้าที่ขันน็อตเท่านั้นจนสภาพความเป็น “คน”หมดไป

คนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรและสายพานการผลิตท่าขันน็อตติดตัวไป

แม้เมื่อเลิกงานแล้ว

Page 30: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ระบบพีฟอร์พีที ่กระทรวงสาธารณสุขพยายามจะนำมาใช้อย่างผิดๆ

นอกจากไม่เกิดผลดีตามที่หวังแล้วจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานกลายสภาพเป็นคน

ก่ออิฐคนแรกไปเรื ่อยๆดังความเห็นของทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาลซึ่ง

ศึกษาเรื่องพีฟอร์พี และได้ชี้ว่าพีฟอร์พีจะทำให้“การรักษาพยาบาลในระบบ

สาธารณสุขไทยเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมอุดมคติทางการแพทย์ที่ทำงานรักษา

เพื่อสุขภาพผู้ป่วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วยไปเป็นการรักษาให้ได้ปริมาณ

มากเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมาก การมองผู้ป่วยเป็นชิ้นงาน มากกว่ามองเป็นคน

จะค่อยๆ เกิดขึ้น และหล่อหลอมให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาล

กลายสภาพจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งความจริงเป็น “หายนธรรม” และสิ่ง

เหล่านี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขไทยในอนาคต”

ทพ.ดร.ธงชัยสรุปว่า“หากนำพีฟอร์พีแบบไทยไปใช้ทั่วประเทศ สุขภาพ

ของคนไทยจะไม่ดีขึ้น... แม้ปริมาณการรักษามากขึ้น แต่เป็นการรักษาที่เป็นไป

เพื่อค่าตอบแทน ไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์สุดท้ายของสุขภาพ ไม่ส่งเสริมการทำงาน

ป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพ ไม่สนับสนุนการทำงานแบบบูรณาการและการ

ทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพแพทย์ ทั ้งนี ้เราไม่สามารถโทษว่าบุคลากรทางการ

แพทย์ไม่มีจริยธรรมในการรักษา แต่ตัวระบบที่ใช้เป็นตัวบีบบังคับให้บุคลากร

ทางการแพทย์ค่อยๆ ถูกกลืนไปทีละเล็กละน้อย จนไม่รู้ตัว”

วิชาชีพอิสระโดยเฉพาะอย่างแพทย์และทันตแพทย์ ถ้าไม่ ได้ “ใจ” กันแล้ว บอกได้คำเดียวว่ายาก โดยเฉพาะแพทย์ที่หล่อหลอมจิตวิญญาณและประสบการณ์การต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมมาอย่างยาวนานอย่างแพทย์ชนบท

Page 31: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

การสั่งการบังคับให้มีการใช้ระบบพีฟอร์พีทั่วประเทศจึงเป็นการสร้าง

หายนะให้แก่ระบบบริการสาธารณสุขไทยในระยะยาว

ผู้เขียนเชื่อว่าปลัดกระทรวงสาธารณสุขคือนายแพทย์ณรงค์สหเมธา-

พัฒน์ตั้งใจทำเรื่องนี้โดยบริสุทธิ์ใจไม่มีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงแต่ทำ

ไปเพราะสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าเป็น“มิจฉาทิฐิ”ประการแรกคือ เข้าใจว่าวิธีการ

พีฟอร์พีจะช่วยให้ระบบบริการสาธารณสุขมีคุณภาพดีขึ ้น ประชาชนจะได้

ประโยชน์มากขึ้นปัญหานี้เกิดจากมิได้ศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้และอาจเกรงกลัว

ต่ออำนาจรัฐมนตรีด้วยจึงผลีผลามทำลงไปโดยไม่มีการตระเตรียมให้พร้อม

ทั้งด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธีประการที่สอง เป็นความสำคัญผิดคิดว่าเป็น

ปลัดกระทรวงแล้วจะสั่งการอย่างไรก็ได้ทุกคนต้องยอมรับอำนาจในฐานะเป็น

ผู้บริหารสูงสุดในฝ่ายราชการประจำแท้จริงแล้วอำนาจไม่สามารถบังคับคนหมู่

มากได้โดยเฉพาะถ้าผู้อยู่ใต้อำนาจไม่เชื่อในสิ่งที่ถูกบังคับให้ทำ

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

Page 32: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างเช่นนี้ให้ศึกษามากมายขอยกตัวอย่างกรณี

พระเจ้าอักบาร์มหาราชพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์โมกุลซึ่งเป็นราชวงศ์

ที่ครองอำนาจในอินเดียยาวนานหลายร้อยปีพระเจ้าอักบาร์มหาราชครองราชย์

อยู่ถึง49ปีทรงเป็นมุสลิมแต่ปกครองคนอินเดียซึ่งส่วนใหญ่เป็นฮินดูทรงเป็น

พระจักรพรรดิที่มีสายพระเนตรยาวไกลและทรงใช้เมตตาธรรมในการปกครอง

ไพร่ฟ้าประชาชนอย่างกว้างขวางทรงให้เสรีภาพทางศาสนาและมีพระประสงค์

จะหลอมรวมคนต่างศาสนาเข้าด้วยกันด้วยการตั้งศาสนาใหม่คือ“ทิพยศรัทธา”

(DivineFaith)ซึ่งรวมคำสอนของศาสนาต่างๆ เข้าด้วยกันทรงเป็น“ศาสดา”

หรือผู ้นำของศาสนาใหม่นี ้ด้วยพระองค์เอง แต่ตลอดพระชนมชีพนับแต่ตั ้ง

ศาสนานี้ในปีพ.ศ.2124จนสวรรคตรวมเวลาถึง24ปีมีผู้ศรัทธาเข้าสู่ศาสนานี้

เพียง19คนหลังเสด็จสวรรคตเมื่อพ.ศ.2148ไม่นานศาสนานั้นกป็ลาสนาการไป

พีฟอร์พีมีการใช้อย่างรอบคอบในอังกฤษและหลายประเทศยังพบว่าไม่

ได้ผลตามที่ประสงค์ และบังเกิดผลไม่พึงประสงค์ที ่ชัดเจน แต่พีฟอร์พีที ่นำ

มาใช้อย่างผิดๆของกระทรวงสาธารณสุขจะไปบังคับให้โรงพยาบาลในสังกัด

ทั่วประเทศเชื่อฟังและทำตามจะเป็นไปได้อย่างไร

วิชาชีพอิสระโดยเฉพาะอย่างแพทย์และทันตแพทย์ถ้าไม่ได้ “ใจ”

กันแล้ว บอกได้คำเดียวว่ายาก โดยเฉพาะแพทย์ที่หล่อหลอมจิตวิญญาณ

และประสบการณ์การต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมมาอย่างยาวนาน

อย่างแพทย์ชนบท

Page 33: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

7. บทส่งท้าย

การ“ดันทุรัง”ประกาศใช้พีฟอร์พีทั้งๆที่ไม่มีโอกาสที่จะเกิด

วิน-วิน-วินกับทั้งสามฝ่ายคือประชาชน-บุคลากร-โรงพยาบาลตรงกัน

ข้ามกลับเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะเกิดการต่อต้านอย่าง

รุนแรง และกระทรวงสาธารณสุขก็พยายาม “เอาชนะ” โดยปลุก

กระแสขึ้นมาต่อต้านผู้คัดค้านจนทำให้เกิดการแตกแยกอย่างรุนแรงใน

วงการสาธารณสุขทำให้น่าสงสัยว่าการดึงดันบังคับให้ทำพีฟอร์พีอาจ

มีมูลเหตุเบื้องหลังที่จะทำให้ระบบบริการสาธารณสุขภาครัฐอ่อนแอลง

เพื่อเปิดทางให้บริการภาคเอกชนเข้ามา“หาประโยชน์”จากเม็ดเงิน

ก้อนโตในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทยที่ใช้เงินปีละกว่า

สองแสนล้านบาท

การยกเลิกหรือลดเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายย่อมมีผลทำให้ระบบ

จูงใจแพทย์ให้อยู ่ในชนบทอ่อนแอลง การขาดแคลนแพทย์ชนบท

เป็นปัญหาเรื้อรังอยู่แล้วย่อมไม่อยู่ในสมองของแพทย์นักธุรกิจอย่าง

Page 34: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0

นายแพทย์ประดิษฐสินธวณรงค์จะสนใจ เพราะในชีวิตไม่เคยออกไป“ชดใช้

ทุน” ในชนบทจึงไม่มีโอกาสซึมซับกับความทุกข์ยากของประชาชนในชนบท

เนื่องจากตลอดชีวิตหมกมุ่นอยู่แต่การสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและธุรกิจของ

ตนเท่านั้นการที่แพทย์ชนบทขาดแคลนจึงไม่ใช่ปัญหาที่นายแพทย์ประดิษฐ

จะต้องเดือดร้อนตรงข้ามอาจเกิดความพอใจเพราะจะทำให้โรงพยาบาลเอกชน

ที่กำลังขยายธุรกิจออกไปในส่วนภูมิภาคได้แพทย์มาทำงานได้ง่ายขึ้นและจะได้

เปรียบในการแข่งขันทำกำไรด้วย เพราะโรงพยาบาลชุมชนอ่อนแอลงเท่าไร

คนไข้ก็จะไหลเข้าเมืองและเข้าโรงพยาบาลเอกชนมากเท่านั้น

การใช้ระบบพีฟอร์พี เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวตัวแรกคือ

ทำให้โรงพยาบาลรัฐโดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนอ่อนแอลงตัวที่สองคือทำให้

จิตวิญญาณแพทย์พยาบาลซึ่งเป็น“วิชาชีพ” ถูกทำลายไปทีละน้อยๆจนกลาย

เป็น“เครื่องมือทำเงิน”ให้แก่โรงพยาบาลเอกชนโดยเต็มใจได้ง่ายขึ้น

น่าคิดว่า ถ้าสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระ-

บรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทยปัจจุบันของไทย ยังทรง

พระชนม์ชีพและทรงได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จะทรงเศร้าสลดพระทัย

เพียงใด

Page 35: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

การคิดเบี้ยเลี้ยงตามภาระงาน

ภาคผนวก

ส่งเสริมหรือทำลายจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ? แสวง บุญเฉลิมวิภาส *

การปรับเปลี่ยนวิธีคิดเบี้ยเลี้ยงแบบเดิมมาเป็นวิธีจ่ายตามภาระ

งานหรือเรียกกันแบบฝรั่งว่า P for P (Pay for Performance - P4P)ที่

กระทรวงสาธารณสุขได้นำแนวคิดนี้มาใช้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งใน

กระทรวงสาธารณสุขการใช้ระบบดังกล่าวหากพิจารณาในหลักการดู

เหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี กล่าวคือ ใครทำงานมากย่อมได้ค่าตอบแทนมาก

ซึ่งก็คือหลักบริหารโดยทั่วๆ ไปแต่เมื่อนำหลักดังกล่าวมาใช้กับลักษณะ

งานทางการแพทย์ซึ่งมีลักษณะเป็นวิชาชีพ(Profession)อาจจะมีความไม่

เหมาะสมและสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารในกระทรวงยังไม่เข้าใจลักษณะ

งานที่เป็นวิชาชีพ (Profession)อย่างแท้จริงว่าการประกอบวิชาชีพมีความ

แตกต่างจากการประกอบอาชีพ (Occupation) โดยทั่วไปและแตกต่างจาก

* ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานกรรมการจริยธรรมประจำราชบัณฑิตยสถาน และกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

Page 36: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

การประกอบธุรกิจ(Trade)อย่างมากหรืออาจจะมีความเข้าใจแต่จงใจที่จะปรับ

เปลี่ยนให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่ตนต้องการ

1. ความหมายและลักษณะงานที่เป็นวิชาชีพ

หากทราบความเป็นมาของคำว่าProfessionจะพบว่าคำนี้มีความ-

หมายอย่างยิ่งคำว่าProfessionมาจากคำกริยา “to profess”จากรากศัพท์

ภาษาลาตินว่า Pro+fateri แปลว่า ยอมรับหรือรับว่าเป็นของตน เดิมคำนี ้

ใช้ในเรื ่องของศาสนาหมายความว่าเป็นการประกาศปฏิญาณตนซึ่งพลตรี

พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้เคยให้ความหมายของ

วิชาชีพว่าอาชีวปฏิญาณซึ่งอาชีวปฏิญาณดั้งเดิมได้แก่วิถีทางของนักบวชซึ่ง

ต้องเคร่งครัดในระเบียบวินัยที่วางไว้ ในเวลาต่อมาได้ขยายมาถึงนักกฎหมาย

และแพทย์ซึ่งลักษณะของงานที่เป็นProfessionจะเป็นดังนี้

(1) เป็นงานที่มีการอุทิศตนทำไปตลอดชีวิต โดยคำนึงถึงประโยชน์ของ

ส่วนรวมเป็นสำคัญเป็นงานที่มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือประชาชน

(2)การงานนั้นต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นเวลานานหลายปีคือมี

การศึกษาโดยเฉพาะในวิชานั ้น มีการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์แบบในทาง

วิทยาศาสตร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง (Prolonged formal scientific training) เป็นการ

ศึกษาอบรมทางความคิด(Intellectual)ยิ่งกว่าการใช้มือ(Manual)และแรงงาน

(3)มีชุมชนหรือหมู่คณะที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำนึกในจรรยา-

บรรณและมีองค์กรที่จะคอยสอดส่องดูแลให้การทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพ

อยู่ในกรอบของจริยธรรม

จะเห็นว่าความหมายของProfessionต่างกับOccupationซึ่งเป็นการ

ประกอบอาชีพโดยทั่วไปและต่างจากTradeซึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจการค้า โดย

ลักษณะของProfession เป็นงานที่ผู้ประกอบการงานนั้นมีความตั้งใจอุทิศตัว

ช่วยเหลือประชาชนเมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจึงอยู่บน

Page 37: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

พื้นฐานของความนับถือไว้เนื ้อเชื ่อใจซึ ่งกันและกันที ่เรียกว่าเป็น Fiduciary

Relationshipแต่เมื่อProfessionถูกทำให้เป็นTradeความสัมพันธ์ดังกล่าวก็จะ

ค่อยๆหมดไป

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่ผ่านมาก็คือการนำโรง

พยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ความเป็นวิชาชีพแปรเปลี่ยนไปเป็น

ธุรกิจ โรงพยาบาลหลายแห่งที่ถูกนักการเมืองและนักธุรกิจที่เป็นแพทย์

บ้าง ไม่ใช่แพทย์บ้าง เข้าครอบงำ โดยมองความเจ็บป่วยเป็นธุรกิจที่ทำ

กำไรได้ มองผู้ป่วยว่าเป็นลูกค้า และตามด้วยการโฆษณาที่แอบแฝง

หรือเกินความเป็นจริง เพราะนั่นคือความปกติที่ธุรกิจมักจะทำกัน ความ

สัมพันธ์ที่เป็น Fiduciary ก็จะถูกแปรเปลี่ยนเป็น Contractual Relationship

คือเป็นความสัมพันธ์กันในเชิงสัญญาเข้าแทนที่

2. เมื่อวิชาชีพถูกแปรเปลี่ยนเป็นธุรกิจและอิสระของวิชาชีพถูกคุกคาม

เมื่อนักธุรกิจและนักการเมืองเข้าครอบงำงานทางด้านการแพทย์และ

นำนโยบายแบบธุรกิจมาบริหารอิสระของวิชาชีพย่อมถูกกระทบไปด้วยความ

สัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้บริหารโรงพยาบาลที่เคยเป็นความสัมพันธ์แบบผู้

ร่วมวิชาชีพ จะกลายเป็นการบังคับบัญชาแบบผู้มีอำนาจเหนือ การแสดง

ความคิดเห็นจะถูกจำกัด กลายเป็นเพียงทำงานเพื่อสนองนโยบาย และ

ลุกลามเข้าไปในส่วนที่เป็นดุลยพินิจหรืออิสระของวิชาชีพ เกิดระบบตรวจ

สอบว่าแพทย์แต่ละท่านตรวจผู้ป่วยชั่วโมงละกี่ราย ให้ผู้ป่วยนอนรักษาตัวที่

โรงพยาบาลกี่รายมีการกำหนดแนวทางให้สั่งยามากเกินความจำเป็นสั่งให้

พยาบาลต้องนอบน้อมยกมือไหว้ผู้ป่วยเหมือนร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นเรื่องของ

รูปแบบมากกว่าทำด้วยจิตใจเหมือนในอดีตผู้ประกอบวิชาชีพส่วนหนึ่งถูกทำให้

เป็นเวชบริกรเหมือนที่ผู้มีอำนาจสั่งนักกฎหมายส่วนหนึ่งให้เป็นเนติบริกร เมื่อ

อิสระของวิชาชีพถูกทำลายลงปัญญาถูกบดบังโดยอำนาจเกียรติของวิชาชีพจะ

ค่อยๆหายไปแม้แต่สภาวิชาชีพก็ถูกครอบงำด้วยวิธีคิดในระบบทุนนิยม

Page 38: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

หากศึกษาให้เข้าใจถึงลักษณะงานที่เป็นวิชาชีพ ก็จะเข้าใจว่าการ

ประกอบวิชาชีพของแพทย์และนักกฎหมายต่างกับการประกอบอาชีพโดยทั่วไป

เพราะการทำงานต้องใช้ความรู้โดยเฉพาะและต้องใช้ความรู้ในการตรวจวินิจฉัย

ให้ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ที ่มาขอความช่วยเหลือ ลักษณะงานเช่นนี้จึงต้องมี

ความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานไม่เหมือนการทำงานในลักษณะอื่นแพทย์

และนักกฎหมายจึงต้องมีอิสระของวิชาชีพในการทำงานหากจะถามแพทย์หรือ

นักกฎหมายว่าผู้ป่วยหรือผู้ที่มาขอคำปรึกษา20คนจะต้องใช้เวลาเท่าไรคำ

ตอบคือยังตอบไม่ได้ไม่เหมือนการผลิตสินค้าในโรงงานหรืองานบริการอย่างอื่น

ที่กำหนดเวลาได้ การตรวจผู้ป่วยได้เร็ว ได้จำนวนมากมิได้แปลว่าทำงานดี

เสมอไปหากกำหนดนโยบายเช่นนี้ โดยไม่เข้าใจลักษณะงานที่แท้จริงของความ

เป็นวิชาชีพจะส่งผลโดยตรงให้กระทบต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพที่ครูบาอาจารย์

พร่ำสอนกันไว้ว่า เวลาตรวจผู้ป่วยต้องคุยกับผู้ป่วยให้เกิดความเข้าใจต้องตรวจ

ร่างกายต้องใช้ความรู้อย่างรอบคอบในการวินิจฉัยโรคต้องให้เวลาผู้ป่วยได้

ซักถามการกำหนดภาระงานจะต้องคำนึงถึงความจริงเหล่านี้เป็นสำคัญ

3. นโยบาย Medicul Hub เพื่อรักษาคนต่างชาติและการดึงบุคลากรทาง

ด้านการแพทย์ออกจากภาครัฐ

นโยบายMedicalHubที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์สุขภาพและดึง

ต่างชาติมารับการรักษาพยาบาลดูโดยผิวเผินเหมือนจะดีเพราะมีเงินไหลเข้า

ประเทศไทยแต่ในความเป็นจริงต้องถามว่าเงินไหลเข้ากระเป๋าใครการกำหนด

นโยบายเช่นนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับกลุ่มนายทุนที่ได้ทำให้งานการแพทย์เป็น

ธุรกิจผลกระทบที่มีต่อสังคมอย่างมากก็คือการซื้อตัวบุคลากรทางแพทย์ออก

จากภาครัฐยิ่งนโยบายภาครัฐทำให้ค่าตัวของบุคลากรถูกลง การดึงคน

ออกจากภาครัฐ ก็ยิ่งทำได้ง่ายขึ้น บุคลากรที่ถูกดึงออกจากภาครัฐ แม้จะ

มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะการที่ทำให้วิชาชีพ

แพทย์กลายเป็นธุรกิจ จะทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น เมื่อชาวบ้าน

ถูกเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลที่แพงมากความสัมพันธ์ที่ดีย่อมลดลง

Page 39: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

ชาวบ้านไม่รู้หรอกว่าใครถือหุ้นในโรงพยาบาล แต่จะมองว่าหมอและ

พยาบาลเปลี่ยนไป เมื่อถูกเก็บค่ารักษาพยาบาลมาก ประกอบกับโรงพยาบาล

โฆษณาว่ารักษาได้สารพัด ย่อมทำให้เกิดความความคาดหวังในบริการ

เมื่อผลออกมาไม่พึงประสงค์ ปัญหาการฟ้องร้องจะตามมาจะสังเกตเห็น

ว่าคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมากๆส่วนใหญ่จะเกิดในโรงพยาบาลเอกชนซึ่ง

หลายกรณีโรงพยาบาลก็ปฏิเสธความรับผิดและโยนความผิดมาให้แพทย์และ

พยาบาลการใช้กลไกแบบธุรกิจที่ขาดมนุษยธรรมมาบริหารโรงพยาบาล

ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพและประชาชน เมื่อเกิด

ปัญหาขึ้นกลับกลายเป็นปัญหาระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพกับประชาชน

ผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลมักไม่ต้องเข้าพัวพันด้วย เพราะเขาเป็นเพียงแต่

ผู้รับเงินปันผลปลายปี โดยมีแพทย์ส่วนหนึ่งเป็นผู้บริหารให้ตามนโยบาย

ที่วางไว้ ในเรื่องดังกล่าวนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้วบุคลากรในโรงพยาบาล

ของรัฐจะดีกว่าในแง่ที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทาง

ละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.2539 เพราะถ้าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของ

รัฐกฎหมายกำหนดให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานรัฐ จะฟ้องเจ้าหน้าที่

ไม่ได้

สิ่งที่นำเสนอไปนั้นคือความห่วงใยกับภัยที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคลากร

ทางการแพทย์และผลกระทบที่จะมีต่อภาคประชาชนผู้เขียนเคยพูดเรื่องเช่นนี้ใน

การประชุมวิชาการของแพทย์เมื่อประมาณ8ปีที่แล้วแต่แพทย์ส่วนหนึ่งก็ยัง

มองไม่เห็นภัยลักษณะนี้แพทย์ส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นแพทย์พาณิชย์

ร่วมมือกับกลุ่มทุนหาเงินใส่ตัวโดยไม่สนใจจรรยาบรรณวิชาชีพนโยบายทางการ

เมืองในระยะหลังได้ทำให้เกิดความแตกแยกกันในกลุ่มแพทย์ ซึ่งเมื่อเกิดการ

แตกแยกย่อมง่ายแก่การปกครอง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วใน

วงการแพทย์ของประเทศไทย และจะเกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนตามมา

มากขึ้น

Page 40: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ข้อเท็จจริงของ

ภาคผนวก

ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Pay for Performance (P4P)

1. P4P แบบไทยแตกต่างกับในต่างประเทศ:

P4P ในไทยที ่จะนำมาใช้ เป็นระบบที ่กำหนดตามรายการ

(items) ที ่ให้บริการรักษาเป็นหลัก [1] โดยจะเป็นการจ่ายเงินค่า

ตอบแทนให้บุคลากรทางการแพทย์ตามรายการที่ทำผู้ที่ทำงานมาก (มี

ปริมาณงานมากใช้เวลามากหรือมีความยากของงานมาก)ก็จะได้รับ

ค่าตอบแทนมากซึ่งคล้ายกับFeeforservices(FFS)ในต่างประเทศ[2]

แต่ไม่ตรงกับความหมายของP4Pที่ใช้ในต่างประเทศ

Page 41: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

2. P4P ในต่างประเทศเน้นเรื่องคุณภาพของบริการรักษาเป็นหลัก

ในรายงานทบทวนวรรณกรรมP4Pของนานาชาติได้ระบุว่าP4P เป็น

ระบบการจ่ายเงินที่เน้นการพัฒนาคุณภาพบริการ (quality improvement)ซึ่ง

บุคลากรทางการแพทย์จะได้เงินค่าตอบแทนเมื ่อสามารถให้บริการได้ตาม

คุณภาพที่กำหนดไว้ (achievementof certain quality benchmark for process

measure)และได้ผลลัพธ์สุขภาพที่ดีของผู้ป่วย (Outcomemeasure) [3]ดังนั้นใน

สหราชอาณาจักรจะเรียกP4Pว่าTheQualityandOutcomeFramework(QOF)

เพื่อที่จะสะท้อนคุณภาพและผลลัพธ์สุขภาพโดยมีตัวชี้วัด76ตัวสำหรับ10

กลุ่มโรค [4]และพัฒนามาเป็น146ตัวใน19กลุ่มโรคโดยมีคะแนนเต็ม1,000

คะแนนแบ่งเป็น5หมวดคือบริการทางคลินิก (Clinicaldomain)655คะแนน

การจัดการในองค์กร(Organizationaldomain)181คะแนนประสบการณ์ของผู้รับ

บริการ (Patient experience domain) 108 คะแนน การให้บริการเพิ ่มเติม

(Additional services domain) 36คะแนนบริการแบบองค์รวม (Holistic care

domain) 20คะแนน โดยสถานบริการ (ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์) จะได้

ค่าตอบแทนคะแนนละประมาณ125ปอนด์และสถานบริการใดได้คะแนนน้อย

กว่าร้อยละ30จะถูกยกเลิกสัญญาส่วนแพทย์ถ้าลงคะแนนเท็จ(ไม่ได้ให้บริการ

จริง)ก็จะถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป[5]

การจ่ายค่าตอบแทนP4P ในต่างประเทศมักจะพยายามออกแบบให้

จ่ายเฉพาะบริการที่จะส่งผลต่อสุขภาพหลักๆและผลลัพธ์สุขภาพเท่านั้น เช่น

ประเมินผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจCoronary heart diseaseที่มาวัดความดันโลหิต

ครั้งล่าสุดถ้าต่ำกว่า150/90mmทีมแพทย์ที่รักษาก็จะได้ค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษ

หรือกรณีการให้ค่าตอบแทนเพิ่มแก่ทีมแพทย์ในกรณีที่ผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้

[6]หรือในการรักษาผู้ป่วยในหากรักษาเสร็จสิ้นจนให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ หาก

ผู้ป่วยกลับมานอนในโรงพยาบาลอีก (Re-admit)ด้วยโรคเดิมหรือเกี่ยวเนื่องกับ

การรักษาเดิมแสดงว่าแพทย์ไม่ได้ให้บริการรักษาที่มีคุณภาพแพทย์ก็จะถูก

ลงโทษโดยการตัดเงินค่าตอบแทนพิเศษเป็นต้น

Page 42: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

P4P เป็นระบบที ่ประเทศสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และอีก

หลายประเทศพยายามจะนำมาใช้แทนระบบ Fee-For-Service (FFS) เนื่องจาก

FFS ก่อให้เกิดปัญหาหลักคือ ปริมาณการให้บริการสุขภาพมากขึ ้น (High

volumesofhealthcareservices)โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของบริการสุขภาพ

หรือผลลัพธ์การรักษา (quality or outcomes) [7] ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่าย

บริการสุขภาพทั้งระบบเพิ่มมากขึ้น[8]

3. P4P แบบไทยไม่เหมาะกับการนำมาใช้ในบริการสาธารณสุข

การให้ค่าตอบแทนตามปริมาณงานที่ทำ เหมาะกับงานการผลิตและ

ภาคบริการที่ไม่สลับซับซ้อน เป็นวิธีคิดในเชิงธุรกิจโดยเฉพาะงานอุตสาหกรรม

ที่ใช้ค่าตอบแทนเป็นการจูงใจให้ทำงาน โดยมีสูตรคำนวนเวลาในการทำงาน

จำนวนชิ้นงานความยากง่ายของงาน [9]แต่บริการในโรงพยาบาลแตกต่างกับ

งานผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมเนื่องจาก

1. บริการสุขภาพไม่เหมือนบริการทั่วไป โดยข้อมูลและอำนาจของ

ผู้ให้บริการ (แพทย์)และผู้รับบริการ (ผู้ป่วย)แตกต่างกันอย่างมาก

ผู้ป่วยโดยเฉพาะในชนบทไม่มีสิทธิในการต่อรองสิทธิในการเลือก

บริการดังจะเห็นได้จากประโยคที่ชาวบ้านพูดอยู่บ่อยๆว่า“แล้ว

แต่หมอ”

2. การบริการสุขภาพมีความซับซ้อนมีบุคลากรหลากหลายสาขา

ร่วมมือกันโรคและการเจ็บป่วยมีความแตกต่างกันแม้ว่าจะเป็นโรค

เดียวกันในผู้ป่วยแต่ละรายก็ไม่เหมือนกันซึ่งทำให้การกำหนดค่า

คะแนนทำได้ยากแม้ว่าจะทำอย่างไรการกำหนดคะแนนก็จะมี

ความลักลั่น ไม่สามารถทำให้เหมาะสมได้กับทุกรายการและทุก

วิชาชีพได้

Page 43: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

3. โรงพยาบาลชุมชนมีทร ัพยากรจำกัด จึงจำเป็นจะต้องมีการ

สร้างสรรค์งานใหม่ๆในการสร้างเสริมสุขภาพซึ่งภาวะดังกล่าวจะ

ไม่เกิดขึ้นในระบบP4Pแบบไทยเนื่องจากจะมีคะแนนให้จากงาน

ประจำเท่านั ้น หากมีการสร้างนวัตกรรมในการดูแลสร้างเสริม

สุขภาพผู้ป่วยก็จะไม่มีคะแนนให้

4. เป้าหมายหลักของโรงพยาบาลชุมชนที่เน้นในการป้องกันโรค (ใน

ระดับบุคคล)และสร้างเสริมสุขภาพ (ในระดับชุมชม)จะมีโอกาส

ถูกละเลยได้ทั้งนี้การกำหนดคะแนนในการให้บริการแม้ว่าการให้

งานป้องกันโรคจะมีคะแนนให้แต่การให้คะแนนนั้นเป็นไปตามราย

กิจกรรมที่ทำไม่ได้คำนึงถึงผลสำเร็จของงานป้องกันโรค

5. บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนมีวัฒนธรรมในการ

ทำงานตามอุดมคติและหัวใจความเป็นมนุษย์หากใช้ระบบการเก็บ

คะแนนตามปริมาณงานที่ทำใช้วัฒนธรรมที่เป็นตัวเงินมากำหนดก็

จะทำให้อุดมคติในการทำงานเพื่อประชาชนไม่มีพื้นที่ที่จะอยู่กลาย

เป็นทำงานภายใต้กระบวนทัศน์ของระบบกลไกซึ่งลดทอนคุณค่า

ความเป็นคนลงไป

4. ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากนำ P4P แบบไทย ไปใช้ทั่วประเทศ

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31มีนาคม 2556มีมติให้ “การจ่ายค่า

ตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข เป็นการจ่ายแบบผสมผสานระหว่างค่า

เบี้ยเลี ้ยงเหมาจ่ายตามพื้นที่และค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน” โดยมี

รายละเอียดระบุว่า “เป็นการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานทั้งการ

บริการผู้ป่วยนอกผู้ป่วยในการส่งเสริมสุขภาพการส่งเสริมป้องกันโรคการ

คุ้มครองผู้บริโภคงานในชุมชนงานบริหารงานวิชาการโดยให้คำนึงถึงคุณภาพ

ด้วย.......”ซึ่งหากนำมาใช้จริงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ

Page 44: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � 0

ก. คุณภาพในการรักษาลดลง เพราะไปเน้นที่ปริมาณในการรักษา

เป็นหลักจากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า

i. การบูรณาการในการรักษาไม่เกิดขึ้น: การรักษาที่ต้องมีการ

บูรณาการ (integrated care) จะทำได้ยากมีอุปสรรคมาก [10]

เนื ่องจากเป็นการจ่ายค่าตอบแทนแยกให้แพทย์แต่ละคน (one

providerperformsoneservice)การรักษาร่วมกันแบบบูรณาการเพื่อ

ผู้ป่วยจึงไม่เกิดขึ้นและถ้านำระบบนี้มาใช้ในโรงพยาบาลชุมชนซึ่ง

การทำงานเป็นสหวิชาชีพมีการบูรณาการการทำงานในชุมชนก็จะ

กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการทำงานชุมชน

ii. ความพึงพอใจของผู้ป่วยลดลง: จากรายงานการทบทวน

วรรณกรรมของCochraneพบว่าพฤติกรรมในการจ่ายเงินให้แพทย์

ในระบบบริการมีผลต่อพฤติกรรมการให้บริการของแพทย์ โดยการ

จ่ายเงินแบบFFSจะทำให้แพทย์ให้บริการรักษาในปริมาณที่มาก

กว่าการจ่ายเงินแบบเงินเดือนหรือเงินเหมาจ่ายรายหัว (Capitation)

โดยจะมีจำนวนครั ้งที ่ผู ้ป่วยมาพบแพทย์มากขึ ้น มาพบแพทย์

ต่อเนื่องมากขึ้นแต่ความพึงพอใจของผู้ป่วยลดลง[2]

iii.มีแนวโน้มที่จะให้การรักษาเกินความจำเป็น (overutilization

andunnecessarycare): เนื่องจากแพทย์มีผลประโยชน์ทับซ้อน

(conflictof interest) ในการดูแลผู้ป่วย [11] ไม่ว่าจะเป็นการตรวจ

วินิจฉัยโรคเกินความจำเป็น(overinvestigation)เช่นแพทย์ทั่วไปจะ

มีแนวโน้มในการถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยเพื่อวินิจฉัยโรคเพิ่มเติม

เพราะเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่แพทย์ [12]หรือการรักษาเกินความ

จำเป็น (over treatment) เช่น การจ่ายยาปฏิชีวนะมากเกินใน

ประเทศแคนาดาที่มีสาเหตุมาจากFFS [13]ทั้งนี้เนื่องจากบุคลากร

ทางการแพทย์มีแรงจูงใจทางด้านการเงินในการเพิ่มปริมาณงาน

Page 45: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

โดยการรักษาที่เกินความจำเป็นนี้อยู่ในขอบเขตที่คลุมเครือ (gray

area)ของเกณฑ์จรรยาบรรณ

iv.ไม่เน้นผลลัพธ์สุดท้ายในการรักษา เพราะการรักษาให้ผู ้ป่วย

หายจากโรคไม่ได้คะแนนเพิ่มในขณะที่ถ้ารักษาผู้ป่วยแล้วไม่หายผู้

ป่วยกลับมาพบแพทย์ใหม่แพทย์จะได้คะแนนเพิ่มจากกิจกรรมและ

รายการบริการที่ให้ดังนั้นระบบนี้จะไม่ส่งเสริมให้แพทย์เน้นผลลัพธ์

สุขภาพของประชาชน เช่นการรักษาพยาบาลผู้ป่วยในหากให้

บริการที่ไม่มีคุณภาพผู้ป่วยไม่หายอยู่โรงพยาบาลนานแพทย์ก็จะ

ได้ค่าตอบแทนมากเป็นต้น

v. ทดลองใช้P4Pในไทยแล้วไม่สามารถเพิ่มคุณภาพการรักษา

ได้ จากการทดลองใช้ใน รพ.พาน เชียงราย และ รพ.สูงเนิน

นครราชสีมามาตั้งแต่ปี 2546 และได้ทดลองใช้ในอีกหลาย

โรงพยาบาลพบว่าสร้างแรงจูงใจกับผู้ปฏิบัติงานได้ มีผลิตภาพ

(Productivity) ในการทำงานสูงขึ้นแต่ไม่ได้ประเมินว่าสุขภาพของ

ประชาชนดีขึ้นหรือคุณภาพในการรักษาดีขึ้นหรือไม่

ข. วัฒนธรรมในการรักษาพยาบาลเปลี่ยนเป็นทุนนิยมการรักษา

พยาบาลในระบบสาธารณสุขไทยจะเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมอุดมคติทางการ

แพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของผู้ป่วยไปเป็น

การรักษาให้ได้ปริมาณมากเพื่อได้ผลตอบแทนมากการมองผู้ป่วยเป็นชิ้นงาน

มากกว่าการมองผู้ป่วยเป็น“คน”จะค่อยๆ เกิดขึ้นและหล่อหลอมผู้ให้บริการ

ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ ซึ ่งความจริงเป็น

“หายนธรรม”และสิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณสุขไทยใน

อนาคต

Page 46: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ค. งานป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพในระบบสาธารณสุขไทยจะ

อ่อนแอลง ระบบนี้จะไม่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากรสาธารณสุข

ทำให้ไม่มีโอกาสที ่จะพัฒนากิจกรรม โครงการ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ใน

โรงพยาบาลชุมชนเนื่องจากงานนวัตกรรมใหม่ๆไม่มีคะแนนให้และเป้าหมาย

ในการบริการไม่ได้เป็นไปเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยแต่เป้าหมายจะเป็นไปเพื่อทำ

คะแนนจากรายบริการที่ให้

สรุป หากนำ P4P แบบไทยไปใช้ทั่วประเทศ สุขภาพของคนไทย

จะไม่ดีขึ้น ด้วยระบบการจ่ายเงินP4Pแบบไทยจะไม่ทำให้สุขภาพของคนไทย

ดีขึ้นแม้จะมีปริมาณการรักษามากขึ้นแต่เป็นการรักษาที่เป็นไปเพื่อค่าตอบแทน

ไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์สุดท้ายของสุขภาพ ไม่ส่งเสริมการทำงานป้องกันและ

สร้างเสริมสุขภาพไม่สนับสนุนการทำงานแบบบูรณาการและการทำงานเป็นทีม

สหวิชาชีพทั้งนี้เราไม่สามารถโทษว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีจริยธรรมใน

การรักษาแต่ตัวระบบที่ใช้เป็นตัวบีบบังคับให้บุคลากรทางการแพทย์ค่อยๆถูก

กลืนไปทีละเล็กละน้อยจนไม่รู้ตัวเหมือนคำกล่าวที่ว่า“อย่าเรียกร้องให้พืชพันธุ์

งอกงามภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย” เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ปัจเจกชนฝืน

กระแสของระบบและสิ่งแวดล้อมทางสังคม

5. แม้จะเปลี่ยนไปใช้ P4P แบบต่างประเทศ ก็ยังคงมีปัญหา

P4Pในต่างประเทศแม้จะพยายามออกแบบเพื่อมาใช้ทดแทน FFSมา

ตั้งแต่ต้นปี2000แล้วก็ตามจากการทบทวนวรรณกรรมต่างๆพบว่ามีข้อสรุป

หลายทิศทางทั้งการสรุปว่าP4Pได้ผลดีสรุปว่าไม่ได้ผลดีหรือมีข้อเสีย รวมทั้ง

ยังมีการสรุปว่ายังไม่สามารถสรุปได้ [14]แม้ว่าจะออกแบบให้คำนึงถึงคุณภาพ

ของบริการและผลลัพธ์สุขภาพของผู้ป่วยแล้วก็ตามการนำไปใช้ในระบบสุขภาพ

ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายในทางปฏิบัติปัญหาที่ยังคงพบในระบบP4Pในต่างประเทศ

คือ

Page 47: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

ก. มีการเลือกผู้ป่วยที่เป็นโรคไม่รุนแรงและร่วมมือในการรักษาดี

เพื่อให้ง่ายต่อการทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาได้ผลดี และมีการ

พยายามปฏิเสธผู้ป่วยที่เป็นโรคซับซ้อนหรือผู้ป่วยที่ไม่ร่วมมือใน

การรักษา

ข. การขาดแคลนบุคลากรในสถานบริการที่มีผลลัพธ์งานต่ำ

เพราะเมื่อมีผลงานต่ำ(ผลลัพธ์สุขภาพไม่ดีขึ้นผู้ป่วยมีความร่วมมือ

น้อย)ก็จะได้ค่าตอบแทนต่ำทำให้บุคลากรลาออกไม่มีทรัพยากร

ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร

ค. ละเลยการทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นเพราะมุ่งทำงานตามตัวชี้วัด

เอกสารองค์การอนามัยโลกได้ระบุชัดว่าการใช้P4Pในการบริหาร

จัดการการให้บริการสุขภาพนั้นอาจจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “ทำ

อะไรบางอย่างให้ผู้ป่วย (doing things to patients)”หมายถึงการ

บริการทางการแพทย์จะเป็นการให้บริการอะไรไปบางอย่าง และสิ่ง

ที่ให้นั้นจะนำมาเพื่อจะใช้คำนวนการจ่ายค่าตอบแทนซึ่งจะทำให้มี

การละเลย“การรักษาให้ผู้ป่วยดีขึ้น (makepatients better)”ซึ่ง

ถือว่าเป็นหัวใจของการทำงานบริการสุขภาพและการพัฒนาตัว

ชี้วัดให้ครอบคลุมทำได้ยากมาก

ง. ปริมาณงานมาก คุณภาพการรักษาลดลง งานวิจัยที่ทบทวน

ระบบP4P[15]ที่ตีพิมพ์ในBritishMedicalJournalปี2011โดยได้

ทบทวนระบบP4Pในสหรัฐอเมริกา เยอรมนีและออสเตรเลียพบ

ว่า ระบบP4Pแม้จะทำให้ productivityของบริการทางการแพทย์

เพิ่มขึ้นแต่ไม่มีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิงได้ว่าจะทำให้ผู้ป่วยได้

รับบริการสุขภาพดีขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพการรักษาแต่

ในทางกลับกันอาจจะเกิดผลทางลบที่เรียกว่า “distortion effect”

คือจะไปลดคุณภาพในการรักษาลงเมื่อต้องให้บริการสุขภาพมาก

Page 48: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

ขึ ้นเรื ่อยๆ เพราะมีแรงจูงใจที ่เป็นค่าตอบแทนมีโอกาสมากที ่

บุคลากรทางการแพทย์จะลดคุณภาพในการรักษาลง

จ. สุขภาพไม่ได้ดีขึ้น งานวิจัยของFleetcroftและคณะ [16] ในปี

2012ที่วิเคราะห์P4Pในประเทศสหราชอาณาจักรพบว่า เงินค่า

ตอบแทนที่เพิ่มลงไปในระบบP4Pทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ

ของประชาชนน้อยมากยิ่งไปกว่านั้นยังไปเพิ่มการให้บริการที่มีค่า

ตอบแทนสูง โดยที่บริการนั้นๆทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพน้อย

มากและบริการที่ไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนน้อยมากก็จะ

ถูกละเลยไป

ฉ. ไม่เหมาะกับบริการทันตกรรม รายงานจากวารสาร Journal for

Healthcare Quality ที ่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก National

InstitutesofHealthได้รายงานไว้เมื่อปี2010มีข้อสรุปว่า[17]ยังไม่

เหมาะสมและเป็นจริงในการนำ P4Pมาใช้กับงานทันตกรรมใน

วงกว้าง(large-scaleimplementation)โดยมีเหตุผลว่างานทันตกรรม

ส่วนใหญ่เป็นงานบริการผู้ป่วยนอก (P4Pที่ใช้ในการแพทย์มักจะ

เกี่ยวกับผู้ป่วยใน)และ“ทันตแพทย์จะรับระบบP4Pได้เมื่อระบบ

P4Pนั้นเชื่อมกับคุณภาพการรักษาได้”ซึ่งในปัจจุบัน“คุณภาพของ

การรักษาทางทันตกรรมยากที่จะวัดและประเมินได้อย่างชัดเจน”

6. ข้อเสนอแนะ P4P ของกระทรวงสาธารณสุข

ก. ไม่สนับสนุนการใช้ P4P แบบไทยทดแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย

ทั้งนี้เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน

ในพื้นที่ชนบทซึ่งมีเป้าหมายแตกต่างกับP4P

Page 49: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

ข. ไม่สนับสนุนการใช้ P4P เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหาร

บุคคลให้ทำงาน เนื่องจากทั้งสองเรื่องมีเป้าหมายต่างกันการใช้

P4Pแบบไทยเป็นการบริหารงานที่คิดว่าบุคลากรทางการแพทย์

มุ่งหวังผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินในการทำงานแต่ที่จริงแล้วคนที่

ทำงานทุกคนมีชีวิตจิตใจมีความต้องการในเรื่องความหมายและ

คุณค่าของตนต่องานที่ทำดังนั้นปัญหาในการบริหารคือทำอย่างไร

จึงจะบริหารงานโดยเน้นที่การทำให้“คน”มีความภาคภูมิใจในการ

ทำงานทำให้คนคนนั้นเป็นหัวใจสำคัญในการคิดปรับปรุงระบบการ

ทำงานให้ดีขึ้นมีผลงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อ

คุณภาพในการให้บริการและส่งผลถึงสุขภาพของประชาชนต่อไป

ค. ควรยกเลิกการใช้ P4P แบบไทย เนื ่องจากว่าไม่ก่อให้เกิด

ประโยชน์แต่อย่างใดต่อคุณภาพการรักษาของแพทย์ทำให้บุคลากร

ทางการแพทย์เข้าสู่ระบบโรงงานอุตสาหกรรม และระบบสาธารณสุข

โดยรวมอ่อนแอ โดยเฉพาะงานป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพ

ซึ่งผลเสียทั้งหมดจะตกอยู่กับประชาชนชาวไทยที่จะไม่ได้มีสุขภาพ

ดีขึ้นได้รับบริการการรักษาที่ด้อยคุณภาพลง

ง. หากจะใช้ P4P แบบต่างประเทศจะต้องเปลี่ยนชื่อเรียกที่สื่อถึง

การพัฒนาคุณภาพบริการและการคำนึงถึงผลลัพธ์สุขภาพของ

ผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อสื่อสารถึงเป้าหมายของการพัฒนาคุณภาพ

บริการและสุขภาพผู้ป่วยและจะต้องมีการศึกษาถึงผลดี ผลเสีย

ข้อจำกัดต่างๆ ในการใช้ และมีการทดลองใช้ในบางพื ้นที ่เพื ่อ

ประเมินผลคุณภาพบริการและสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วย

Page 50: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � �

เอกสารอา้งอิง

1.คู่มือการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (Pay for Performance: P4P).2556,

กระทรวงสาธารณสุข.

2. Gosden, T., et al.,Capitation, salary, fee-for-service and mixed systems of

payment: effects on the behaviour of primary care physicians.Cochrane

DatabaseSystRev,2000(3):p.CD002215.

3.Greene,S.E.andD.B.Nash,Pay for performance: an overview of the literature.

AmJMedQual,2009.24(2):p.140-63.

4.Campbell,S.M.,etal.,Effects of pay for performance on the quality of primary

care in England.NEnglJMed,2009.361(4):p.368-78.

5.ยงยุทธพงษ์สุภาพ,ด.น.ย.,การจ่ายตามภาระและการปฏิบัติงานที่มีผลสัมฤทธิ์.

2556,ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกด้านการพัฒนานโยบายและระบบ

บริการสุขภาพปฐมภูมิ.

6.Volpp,K.G.,etal.,A randomized, controlled trial of financial incentives for smoking

cessation.NEnglJMed,2009.360(7):p.699-709.

Page 51: p4p ยาดีที่ใช้ผิด

พีฟอร์พี ยาดี (?) ที่ใช้ผิด � � � �

7.Miller,H.D.,From volume to value: better ways to pay for health care.HealthAff

(Millwood),2009.28(5):p.1418-28.

8.Yip,W.C., et al.,Realignment of incentives for health-care providers in China.

Lancet,2010.375(9720):p.1120-30.

9.Availablefrom:http://www.citeman.com/7013-incentive-plans.html.

10.Davis,K.,Paying for care episodes and care coordination.NEnglJMed,2007.

356(11):p.1166-8.

11.Emanuel,E.J.andV.R.Fuchs,The perfect storm of overutilization.JAMA,2008.

299(23):p.2789-91.

12.Kluger,J.,A healthier way to pay doctors.Time,2009.174(16):p.36-40.

13.Basky,G.,Fee for service doctors dispense more antibiotics in Canada.BMJ,

1999.318(7193):p.1232.

14.Witter, S., et al.,Paying for performance to improve the delivery of health

interventions in low- and middle-income countries.CochraneDatabaseSyst

Rev,2012.2:p.CD007899.

15. deBruin, S.R., C.A. Baan, and J.N. Struijs,Pay-for-performance in disease

management: a systematic review of the literature.BMCHealthServRes,

2011.11:p.272.

16.Fleetcroft,R.,etal.,Incentive payments are not related to expected health gain

in the pay for performance scheme for UK primary care: cross-sectional

analysis.BMCHealthServRes,2012.12:p.94.

17.Voinea-Griffin,A., et al.,Pay-for-performance in dentistry: what we know. J

HealthcQual,2010.32(1):p.51-8.